ภาพวาดแห่งการต่อสู้ เพื่อเสรีภาพของประชาชน

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ยูจีน เดอลาครัว : Liberty Leading the People (La Liberté guidant le peuple) (1830), ภาพจาก https://bit.ly/3fCRymH

 

ภาพวาดแห่งการต่อสู้
เพื่อเสรีภาพของประชาชน

ในตอนนี้ขอพักจากการชมงานนิทรรศการมากล่าวถึงผลงานศิลปะชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์โลกกัน

ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า Liberty Leading the People (La Libertè guidant le peuple) (1830)
หรือ “เสรีภาพนำทางประชาชน”

ภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบของจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนสำคัญแห่งยุคโรแมนติก ยูจีน (เออแฌน) เดอลาครัว (Eugène Delacroix) ที่วาดขึ้นเพื่อแสดงการเฉลิมฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศส ในเชิงอุปมานิทัศน์ (Allegorical หรือการเล่าเรื่องโดยใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบแทนการบอกเล่าความหมายโดยตรงหรือการใช้ภาษาเขียนออกมา)

โดยเป็นภาพของเทพีแห่งเสรีภาพ ผู้อยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงสาวชาวบ้านท่าทางห้าวหาญ สวมเสื้อยาวหลุดร่วงจนเห็นหน้าอกหน้าใจ

บนศีรษะเธอสวมหมวกฟรีเจียน (Le Bonnet phrygien หรือหมวกผ้าสีแดง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของอิสระ เสรีภาพ (ด้วยเหตุที่สมัยโบราณ ผู้สวมหมวกนี้มักเป็นทาสที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย เหล่านักปฏิวัติจึงนิยมสวมหมวกฟรีเจียนสีแดงจนมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติไปในที่สุด)

มือหนึ่งของหญิงสาวชูธงสามสีของกองทัพปฏิวัติ (ซึ่งกลายเป็นธงชาติของฝรั่งเศสจวบจนถึงทุกวันนี้) อีกมือของเธอถือปืนคาบศิลาติดดาบปลายปืน ทางขวามือของเธอเป็นชายฉกรรจ์สองคน คนหนึ่งถือปืนคาบศิลา อีกคนถือกระบี่

ทางซ้ายมือของเธอเป็นชายหนุ่มถือปืนพกสองมือ เธอและพวกเขาเดินนำหน้าเหล่าประชาชนหลากชนชั้นให้ก้าวข้ามเครื่องกีดขวางและร่างของศัตรูผู้บาดเจ็บล้มตายไปข้างหน้า โดยมีซากปรักหักพังของกรุงปารีสให้เห็นอยู่เลือนรางท่ามกลางควันไฟเบื้องหลัง

ภาพวาดนี้แสดงถึงความพยายามของประชาชนชาวปารีสในการจัดตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยขึ้นมา เทพีแห่งเสรีภาพในรูปหญิงสาวผู้นี้ยังเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส หรือสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่มีชื่อเรียกขานว่า “มารียาน” (Marianne) นั่นเอง

ภาพวาดนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเดอลาครัว ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ.1830 ถึงแม้เดอลาครัวจะไม่เคยเข้าร่วมในการปฏิวัติใดๆ แต่เขาต้องการสดุดีเกียรติแก่เหล่านักปฏิวัติผู้กล้าหาญด้วยภาพวาดภาพนี้

โดยเขาเขียนจดหมายถึงพี่ชายของเขาว่า “ถ้าฉันไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้เพื่อชัยชนะของประเทศชาติ อย่างน้อยฉันก็จะวาดภาพมันขึ้นมา”

ภาพวาดนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของการร่วมมือร่วมใจของเหล่าชนชั้นกลางที่ต่อสู้เคียงข้างชนชั้นล่าง
ในขณะที่สีน้ำเงิน ขาว แดงของธงกองทัพปฏิวัติ หรือธงชาติของฝรั่งเศส ปรากฏซ้ำในหลายจุดขององค์ประกอบภาพ ทั้งสีของท้องฟ้าและกลุ่มควันพวยพุ่ง หรือสีเสื้อผ้าของชายในภาพที่แหงนหน้ามองมารียาน ซึ่งตัวมารียาน และสีของธง (ที่มีความหมายถึงเสรีภาพ, ความเสมอภาค และภราดรภาพ) ก็แฝงความเป็นสัญลักษณ์ถึงการปฏิวัติเช่นเดียวกัน

ความยิ่งใหญ่ทรงพลังของผลงานชิ้นนี้ เกิดจากความสามารถในการจับเอาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของปวงชนไปพร้อมๆ กับการนำเสนอความเป็นจริงอันรุนแรงและสับสนวุ่นวายของการปฏิวัติ

ดังคำกล่าวของโจนาธาน โจนส์ นักวิจารณ์ศิลปะชื่อก้องชาวอังกฤษที่กล่าวถึงผลงานชิ้นนี้ว่า “เดอลาครัววาดภาพประวัติศาสร์แห่งเสรีภาพและความปีติของการปฏิวัติ โดยไม่หลีกหนีความเป็นจริงอันโหดร้ายอย่างความรุนแรงและการบาดเจ็บล้มตาย”

เขาแสดงให้เห็นว่างานศิลปะโรแมนติกนั้นไม่ใช่ศิลปะที่มองโลกสวยหรืออยู่แต่ในทุ่งลาเวนเดอร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นการแสดงออกถึงสัจธรรมของการปฏิวัติออกมาให้เห็นอย่างเปี่ยมพลัง
เช่นเดียวกับศิลปินร่วมชาติอย่างกุสตาฟ กูร์แบ ที่แสดงให้เห็นถึงแง่มุมอันไม่โสภาในชีวิตประจำวันอย่างตรงไปตรงมา ทว่าเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ผลงานชิ้นนี้ส่งให้เดอลาครัวกลายเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสไปในที่สุด

ภาพวาดแหวกขนบที่ไม่ยึดติดกับความงามตามอุดมคติที่นำเสนอภาพของนักปฏิวัติหญิงเนื้อตัวมอมแมมแต่งกายหลุดลุ่ยกึ่งเปลือยของเดอลาครัวภาพนี้ สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก
เมื่อครั้งแรกที่มันถูกจัดแสดงที่ซาลง หรือนิทรรศการแสดงศิลปะแห่งชาติ ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลและสถาบันศิลปะของฝรั่งเศส

ต่อมารัฐบาลของกษัตริย์หลุยส์-ฟิลิปซื้อภาพนี้ไป โดยหวังจะแขวนโชว์ในพระราชวังลุกซ็องบูร์ เพื่อย้ำเตือนถึงความเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของพระองค์ แต่ก็ต้องถูกปลดออกและเก็บให้พ้นจากสายตาของสาธารณชนด้วยนัยยะทางการเมืองอันชัดเจนจนอื้อฉาวของมัน

หลังจากการปฏิวัติเดือนมิถุนายน 1832 ภาพวาดนี้ก็กลับคืนสู่มือของเดอลาครัว และต่อมาก็กลายเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จวบจนถึงปัจจุบัน

ว่ากันว่าภาพวาดนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังนวนิยายเรื่อง Les Misérables (เหยื่ออธรรม) ของวิกตอร์ อูโก (Victor Hugo) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครอย่างชาฟโรช (Gavroche) เด็กจรจัดผู้เข้าร่วมการปฏิวัติ ที่เชื่อกันว่าได้แรงบันดาลใจจากเด็กหนุ่มถือปืนพกสองมือก้าวข้ามเครื่องกีดขวาง นวนิยายเรื่องนี้ยังกล่าวถึงเหตุการณ์จลาจลในเดือนมิถุนายน 1832 สองปีหลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติอันโด่งดังในภาพ อันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพถูกเก็บซ่อนจากสายตาของสาธารณชนดังที่กล่าวไว้

ตัวละครมารียานในภาพวาดนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลงาน Liberty Enlightening the World ของเฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ (Frédéric Auguste Bartholdi) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ” แห่งนิวยอร์ก ที่รัฐบาลฝรั่งเศสมอบให้เป็นของขวัญแก่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในอีกครึ่งศตวรรษหลังจากภาพวาดนี้ถูกวาดขึ้น ตัวละครมารียานยังปรากฏในธนบัตร 100 ฟรังก์ในช่วงปี 1978 ถึง 1995 อีกด้วย

ภาพวาดนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจโดยตรงให้กับผลงานในปี 1995-1996 ของศิลปินร่วมสมัยชาวจีน เยว่ – หมินจวิน (Yue Minjun) ที่จำลองภาพวาด Liberty Leading the People ขึ้นมาใหม่ในเชิงเสียดสี โดยมีตัวเขาเองที่มีสีหน้าหัวเราะโห่ฮานำพาฝูงชนที่เป็นตัวเขาเองเดินตามมาด้วยสีหน้าที่กำลังหัวเราะโห่ฮาเช่นเดียวกัน

 

เยว่ หมินจวิน : La Liberté Guidant le Peuple (1995), ภาพจาก https://bit.ly/3nXjzZi

 

ภาพวาดนี้ยังถูกนำไปใช้ในปกอัลบั้ม Viva la Vida or Death and All His Friends ในปี 2008 ของวงดนตรีร็อกสัญชาติอังกฤษอย่าง Coldplay อีกด้วย

 

ปกอัลบั้ม Viva la Vida or Death and All His Friends ในปี 2008 ของวงดนตรี Coldplay

 

ข้อมูล https://bit.ly/375viOw, https://bit.ly/3fCRymH