‘SET Social Impact GYM 2023’ ผนึก 3 พันธมิตร เสริมแกร่งธุรกิจเพื่อสังคม ต่อเนื่องปีที่ 7

ด้วยปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยังคงเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมุ่งดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อส่วนรวม สำหรับธุรกิจบางประเภทการแสวงหากำไรสูงสุดจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญเท่ากับการเป็นธุรกิจที่มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนาช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE)

เพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจให้กับผู้ประกอบการเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
ไทย จึงร่วมกับ สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) สานต่อโครงการ SET Social Impact GYM 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เพื่อแบ่งปันความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และแนวคิดเชิงธุรกิจ ในการพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการให้กับผู้ประกอบการเพื่อสังคม ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน และสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปีนี้ได้มีการผนึกกำลังพันธมิตร 3 รายร่วมส่งเสริมศักยภาพทักษะของผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการทำธุรกิจมากขึ้น  ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สนับสนุนด้านทุน การแลกเปลี่ยนเครือข่ายการทำงานและร่วมพัฒนาองค์ความรู้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมสนับสนุนข้อมูลความรู้การวางแผนเตรียมความพร้อมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมเสริมทักษะผู้เข้าร่วมโครงการในการบริหารจัดการเงินทุนที่ได้มาให้มีประสิทธิภาพ และบริษัท PwC ประเทศไทย สนับสนุนการให้คำปรึกษาด้านบัญชี กฎหมาย และภาษีที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของการดำเนินธุรกิจในทุกขนาด

คุณนพเก้า สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ GYM คัดสรรให้หรือสนับสนุน คือเรื่องของความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ

“ระหว่างทางที่ Social Enterprise ทั้ง 8 ราย เข้ามาสู่กระบวนการ GYM เรามีโค้ชเพิ่ม มีคลาส มีคลินิก ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาของ Social Enterprise เหล่านี้ ให้ท้ายที่สุด ณ วันที่เราปิดโปรแกรมไป น้องๆ สามารถที่จะมีแผนธุรกิจที่เข้มแข็ง อาจจะต่อยอดไปสู่การระดมทุน และการ matching กับบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี” 

สำหรับ SET Social Impact GYM 2023 ในปีนี้ ได้โค้ชจิตอาสาที่เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 22 ท่าน มาให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดเชิงธุรกิจ ร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจในรูปแบบการโค้ชตัวต่อตัวให้กับ 8 ผู้ประกอบการเพื่อสังคม ที่ครอบคลุมการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม 2 แห่ง (ห้างหุ้นส่วนจำกัด เฮซ ฟรี และบริษัท เลิร์น ดู จำกัด) ด้านผู้เปราะบาง 3 แห่ง (บริษัท ตั้งต้นดี เพื่อสังคม จำกัด, สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย และบริษัท ลอว์เอ็กซ์เทค จำกัด) ด้านพัฒนาชุมชน 2 แห่ง (บริษัท ทีเอชซี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ลีกัล คอนเน็กท์ จำกัด) และด้านการเกษตร 1 แห่ง (บริษัท แทน ไบโอเคมิคอล จำกัด)

คุณวิรัฐ สุขชัย นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการ Social Enterprise มีเป้าหมายที่จะดำเนินธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมเป็นหลัก โครงการนี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพการประกอบธุรกิจ ตลอดจนบริษัทใน เอ็ม เอ ไอ มีกว่า 200 บริษัท หากธุรกิจมีความเกี่ยวโยงกัน จะสามารถสนับสนุนกันได้ และเมื่อผู้ประกอบการเพื่อสังคมเติบโตอย่างเข้มแข็งย่อมส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในสังคมตามมา

“เราเห็นศักยภาพของน้องๆ เหล่านี้ ในการทำกิจการช่วยเหลือสังคมอยู่แล้ว ซึ่งประโยชน์ตรงนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคมมาก เพราะฉะนั้น maiA และโค้ชจิตอาสาของเราทั้งหมดจึงอยากเข้ามาช่วยเหลือในโครงการนี้ สำหรับเรื่องความยั่งยืน ทาง Social Enterprise ได้ช่วยเหลือสังคม ถ้าเขาทำให้สังคมมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ความยั่งยืนของสังคมเราก็จะเกิดขึ้นด้วย”

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่เข้าร่วมโครงการ SET Social Impact GYM 2023 มีเส้นทางการเรียนรู้ตลอดเดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม เริ่มจากปูพื้นฐานการเรียนรู้ทักษะการเป็นผู้ประกอบการและการดำเนินธุรกิจ ทั้งในส่วนออนไลน์ผ่าน LIVE Platform และ SET SE101: Online Offering การอบรมเชิงปฏิบัติการใน Business Learning ก่อนพบกับโค้ชจิตอาสาในโครงการ SET Social Impact GYM 2023

ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา โครงการ SET Social Impact GYM ดำเนินการผ่านการออกแบบพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการเพื่อสังคมและบริษัทจดทะเบียนได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ สร้างความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ และเปิดโอกาสสู่ความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยมีผู้ประกอบการเพื่อสังคมผ่านการอบรมในโครงการนี้แล้วกว่า 80 ราย มีสัดส่วนการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม 5 ด้าน ดังนี้ 40% เป็นด้านพัฒนาชุมชนและสังคม อีก 60% เป็นด้านสุขภาพ ด้านผู้เปราะบาง ด้านเกษตรและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ที่พร้อมต่อยอดความร่วมมือให้เกิด Social Business Co-Creation ระหว่างภาคธุรกิจและภาคสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกัน

ทั้งหมดนี้นับเป็นการตอกย้ำภารกิจของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการมุ่งส่งเสริมความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ www.setsocialimpact.com