ข่าวเด่น: “รสนา”ถามจำได้ไหม ลุงๆยังจำได้ไหม ใครเคยเคร่งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน“นามสกุลเดียวกัน”

(28 ก.ย.)  น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกรัฐมนตรี ใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างว่าไม่ผิดกฎหมาย ว่า

“ผลประโยชน์ทับซ้อนคือต้นทางของการคอร์รัปชัน”

ความแตกต่างระหว่าง Rule by Law กับ Rule of Law

Rule by Law” คือ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง “Rule of Law” คือ หลักนิติธรรมที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

ฟังนักกฎหมายระดับเนติบริกรอธิบายเรื่องบ้านพักข้าราชการไปเทียบกับบ้านเช่า ว่าไม่มีข้อห้ามใดๆในการนำไปจดทะเบียนบริษัทแล้ว ทำให้เข้าใจความหมายของ Rule by Law ชัดเจนขึ้น

นึกถึงเรื่องจริงของนายแพทย์คนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ ท่านเป็นอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์ ครั้งหนึ่งคู่เขยของท่าน ประมูลได้สัญญาเปิดร้านค้าในคณะแพทยศาสตร์ พอท่านทราบเรื่องก็พูดกับคู่เขยว่า ขอให้ถอนตัวออกไป

คู่เขยตอบว่า ได้ลงทุนก่อสร้างไปแล้ว และที่ได้สัญญามาก็ไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ของคุณหมอที่เป็นคู่เขย อีกทั้งคนทั้งคู่ก็ใช้คนละนามสกุลกันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

แต่ นายแพทย์ท่านนั้นยืนยันกับคู่เขยว่ายินดีจ่ายเงินที่ลงทุนคืนให้ และกล่าวว่า ” ตราบเท่าที่ผมยังอยู่ในคณะนี้ ผมขอไม่ให้คุณมาทำมาค้าขายในคณะนี้”

นี่คือนายแพทย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ใช่นักกฎหมายระดับเซียน แต่เข้าใจชัดเจนว่า สิ่งเรียกว่า Conflict of Interest (COI) อันเป็น “การขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างส่วนตัวกับส่วนรวม” หรือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” นั้น หมายถึงอะไร โดยไม่ต้องยกตัวบทกฎหมายอะไรมากล่าวอ้างเพื่อรับรองความชอบธรรมให้กับตัวเอง และพวกพ้องของตัวเอง

จำได้ไหม ลุงๆ ยังจำได้ไหม ที่เคยเคร่งครัดออกระเบียบไม่ให้เอาลูกหลานญาติพี่น้องที่มีนามสกุลเดียวกันมาเป็นผู้ปฏิบัติงาน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ปรึกษาประจำตัวของบรรดาสนช.และสปช.รวมทั้งในชั้นกรรมาธิการด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และกฎเหล็กนี้ก็ยังนำมาใช้กับสสส.ที่ห้ามให้ทุนกับองค์กรที่มีบอร์ดของสสส.นั่งเป็นกรรมการ (ทั้งที่ระเบียบอนุญาตให้ทำได้ แต่คสช.ไม่ให้ทำ) มีการตรวจสอบไล่บี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ว่ามีการคอร์รัปชันหรือไม่ ถึงขนาดแช่แข็งเงินกองทุนจนหลายองค์กรต้องปิดตัวไป

ในสังคมอารยะที่มีธรรมาภิบาล(Good Governance)นั้น ย่อมถือว่าCOI ดังกล่าว เป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ใช่แค่ “ความไม่เหมาะสม”ดังที่บรรดาเนติบริกรชอบอ้างกันอย่างข้างๆ คูๆ