“ทัวร์ศูนย์เหรียญ” พ่นพิษ หวั่นโค้งท้าย “จีนเที่ยวไทย” ไปไม่ถึงฝัน

อาจจะเรียกได้ว่า “อาฟเตอร์ช็อก” ครั้งใหญ่ก็คงไม่ผิดนัก สำหรับมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ดำเนินการมาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม

หลังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และตำรวจท่องเที่ยว ผนึกกำลังกันบุกจับบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด พร้อมยึดรถบัสนำเที่ยวกว่า 2,150 คัน พร้อมเงินสดหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทในเครือ 381 บริษัท มูลค่ากว่า 4,700 ล้านบาท และขยายผลอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างรวดเร็ว

และปัญหานี้อาจสะเทือนถึงเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เป็นความหวังของประเทศ

ถึงขนาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่สหรัฐ ได้แสดงความกังวลว่าปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ อาจเกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะยาว และอยากให้แก้ปัญหาโดยด่วน

และกำชับถึงการให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่สื่อสารออกไปยังต่างประเทศไม่เกิดการคลาดเคลื่อนจนทำให้เกิดการวิตกกังวล จนส่งผลกระทบกับภาพรวมของการท่องเที่ยวของไทย

แน่นอนว่า ด่านแรก ทั้งสายการบิน โรงแรม ทัวร์จีน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ต่างได้รับผลกระทบกันโดยถ้วนหน้า

เนื่องจากบริษัททัวร์ได้ทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทคู่ค้าที่จีนแล้ว เมื่อบริษัทโอเอฯ ถูกดำเนินคดี บริษัททัวร์ที่เคยใช้บริการจึงได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะต้องมีภาระต้นทุนการเช่ารถบัสเพิ่มขึ้น และจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายทัวร์ทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายจีนปรับตัวไม่ทัน ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนก็ยกเลิกการเดินทางทันทีเช่นกัน

ว่ากันว่า เดิมราคาขายแพ็กเกจทัวร์จีนเที่ยวไทยขายประมาณ 2,800-3,000 หยวน ปัจจุบันขายกันที่ราคา 4,000 หยวน หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

สมาชิกสมาคมไทยธรุกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ยอมรับว่า หลังการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง ขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนได้ยกเลิกการจองตั๋วเครื่องบินมายังไทยแล้วถึง 70-80% ส่งผลให้สายการบินบางแห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก และมีการยกเลิกเที่ยวบินไปแล้วบางส่วน

สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากสายการบินแอร์ไชน่า ที่ระบุว่า ขณะนี้สายการบินได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยในเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ สายการบินแอร์ไชน่าได้ยกเลิกเที่ยวบินที่บินระหว่างจีนและไทยไปแล้วบางส่วน

ผู้แทนของสายการบินไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ ก็กล่าวในเรื่องนี้ว่าทันทีที่รัฐบาลไทยมีมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดการเดินทางเข้าไทย ทำให้สายการบินไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ จำเป็นต้องยกเลิกเที่ยวบินจากเมืองรองของจีนเข้าไทยไปแล้วหลายเส้นทาง อาทิ อู่ฮั่น, ฉางชา และซัวเถา เป็นต้น

เช่นเดียวกับยอดจองห้องพักในเขตกรุงเทพฯ และพัทยา แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนก็ลดฮวบลงทันทีเช่นกัน

ขณะที่ “ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ” นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ที่กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์ของสมาชิกทีเอชเอพบว่า ยอดจองโรงแรม ที่พักในเดือนกันยายนนี้ลดลงไปกว่า 50% และคาดการณ์ด้วยว่า ในเดือนตุลาคม ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวในเทศกาลวันชาติจีน คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะหายไปอีกราว 2 แสนคน และสูญเสียรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากปกติในช่วงดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยกว่า 4 แสนคน

นอกจากสายการบิน โรงแรม ทัวร์จีน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่ต่างได้รับผลกระทบกันโดยถ้วนหน้าแล้ว ในแง่ของเป้านักท่องเที่ยวจีนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เคยวาดหวังว่าจะมีตัวเลขทะลุ 10 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ จากปีที่ผ่านมาที่ตัวเลขมาจากกว่า 7.9 ล้านคน ก็อาจจะมีปัญหาเช่นกัน

จากรายงานของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือนกันยายนี้น่าจะมีประมาณ 6.9 แสนคน จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาราวๆ 8.25 แสนคน หรือลดลงประมาณ 16.39% เมื่อเทียบกับปี 2558

อย่างไรก็ตาม “กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงยืนยันว่า มาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลนั้นส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในบางพื้นที่เท่านั้น และเชื่อว่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้นๆ หรือแค่ในช่วงเดือนกันยายนนี้ และยอมรับว่า ผลกระทบดังกล่าวนี้อาจทำให้เป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปีนี้มีปริมาณที่ลดลงบ้างเล็กน้อย

พร้อมเปิดเผยด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 1-15 กันยายนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยจำนวน 334,435 คน เพิ่มขึ้น 32.06% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 กันยายนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีน 6,970,192 คน เพิ่มขึ้น 19.43%

ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ได้อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอร่างบันทึกความเข้าใจที่จะลงนามร่วมกับองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวจีน ในวันที่ 21 กันยายนนี้ วันที่ 14 ตุลาคม ททท. และผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศจีนและหารือกับเอกชนท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีนด้วย

“กอบกาญจน์” ระบุว่า หลังจากนี้ต้องมีการตกลงเรื่องราคามาตรฐานด้านการท่องเที่ยวให้เกิดความยุติธรรมกับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งจากนี้ไปคาดว่าภายใน 1 เดือนจะสามารถทำให้การดำเนินธุรกิจทัวร์กับนักท่องเที่ยวจีนเข้าสู่ระบบได้

สอดคล้องกับ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ (19-23 กันยนยน) กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดราคาขายทัวร์ที่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะมีการกำหนดต้นทุนอย่างชัดเจน เพื่อบริษัททัวร์จะไม่ไปขายในราคาต่ำกว่าทุนอีก กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะควบคุมการให้บริการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ว่า ต้องใช้รถทัวร์แบบไหน คุณสมบัติของไกด์ทัวร์เป็นอย่างไร ตลอดจนรูปแบบของร้านค้าที่บริษัททัวร์นำนักท่องเที่ยวไปซื้อของได้

ด้านสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ก็มีความเคลื่อนไหวที่จะมีการประชุมกับ 15 บริษัททัวร์จีนชั้นนำของตลาด เพื่อสรุปแนวทางการตั้งราคากลางทัวร์ใช้เป็นการชั่วคราว เป็นผลมาจากการที่แอตต้าตกลงให้ความร่วมมือกับกรมการท่องเที่ยว เพื่อช่วยกำหนดราคากลางของโปรแกรมนำเที่ยวสำหรับกรุ๊ปทัวร์จีนระหว่างที่รอกฎหมายลูกซึ่งจะกำหนดราคาขั้นต่ำของทัวร์ออกมาภายในปลายปีนี้

ถึงวันนี้ เป็นที่รับรู้กันแล้วว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่มากับบริษัททัวร์ลดลงเล็กน้อย ขณะที่การประเมินของ ททท. มองว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้จะมีมากกว่าปีที่แล้วที่ 7.9 ล้านคนแน่นอน ส่วนจะถึง 10 ล้านคน ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น ททท. ระบุเป็นกลางๆ ว่า

“น่าจะใกล้เคียง ในภาพรวมไม่น่ามีปัญหา คาดว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 9.6-10 ล้านคน เพราะจนถึงขณะนี้มีคนจีนมาเที่ยวไทยแล้วมากกว่า 6.9 ล้านคน”

นี่คือสิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้

โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีจำนวนถึง 10 ล้านคนอาจไม่เป็นไปตามที่วาดฝันกันไว้

และทั้งหมดนี้ เป็นการประคับประคองให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ทะลุ 10 ล้านคนตามเป้าที่วางไว้