“ผบ.ตร.”สั่งกองปราบฯลุยคดีหวย 30 ล.จบก.พ. แง้มซ้ำรอย’ครูจอมทรัพย์’ บิ๊กสีกากีเอี่ยว

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เดินทางเข้าร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดีหวยอลเวง แย่งสิทธิครอบครองลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ กับ นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี ที่ต่างฝ่ายต่างออกมายืนยันว่าตนเองเป็นเจ้าของลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 นั้น

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า อยากขอเวลาสักระยะให้ตำรวจได้ทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง และตอบสังคมได้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นกรณีศึกษา เป็นปรากฏการณ์ของสังคม ไม่ใช่เพียงแค่คดีธรรมดาคดีหนึ่ง แต่ต้องมองว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ขณะนี้คดียังไม่ถึงกระบวนการในชั้นศาล แต่ทางจิตวิทยาน่าจะตอบคำถามได้ ว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริง ใครพูดความจริง ใครพูดโกหก ซึ่งในส่วนของการดำเนินการของตำรวจ คาดว่าน่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนนี้

“นี่ถือเป็นกรณีศึกษาของประเทศไทยต้องมีการดูแลประชาชนมากกว่านี้หรือไม่ ระบบคัดกรองทั้งตำรวจ ทั้งครู ทั้งพระ ทหาร ตำรวจ ทุกสาขาอาชีพ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นั้นๆ เพราะทุกคนบอกเป็นคนดีหมดเลย” พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าว

ผบช.ก.กล่าวอีกว่า สำหรับพยานหลักฐานต่างๆ พนักงานสอบสวน บก.ป.รวบรวมไว้มากพอสมควร ไม่ขอประเมินเป็นตัวเลขว่าคืบหน้าเท่าใด แต่ยืนยันว่าจะทำให้สมบูรณ์ในทุกประเด็น กระจ่างชัดทุกข้อสงสัย รู้ว่าใครผิดใครถูก มีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวบ้าง และทำหน้าที่อย่างไร ใครเป็นตัวการ หรือเป็นผู้ร่วมสนับสนุน ต้องพิจารณาและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย บางคนอาจจะไม่ได้ตั้งใจเกี่ยวข้อง แต่อาศัยความเป็นพวกพ้อง และเชื่อว่าคนนี้เป็นคนดี จึงออกมาช่วยกัน

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า ที่ผ่านมาคดีลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาง บช.ก.จึงจำเป็นที่จะต้องลงไปทำคดี เพื่อจะได้รู้ว่ามีขบวนการหรือมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ ส่วนประเด็นการสืบสวนสอบสวนของ บก.ป.สอดคล้องกับการดำเนินการของตำรวจภูธรภาค 7 หรือไม่นั้น ไม่อยากให้มีการนำไปเปรียบเทียบ ที่ผ่านมาตำรวจ บช.ก.อาจเจอคดีเยอะ หลากหลาย การทำแต่ละคดีต้องระมัดระวัง รอบคอบและละเอียด ส่วนคำให้การของพยานที่ผ่านมาจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ไม่ขอเปิดเผย แต่เชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนมีอยู่ ประกอบกับความรู้ ประสบการณ์ซึ่งมีมากพอที่จะทำให้คดีดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้นได้ ส่วนกรณีที่นายปรีชาได้ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งจะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่ ในส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง ขอกล่าวถึงเพียงคดีที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เดินทางมายัง บก.ป.เพื่อร่วมติดตามความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนด้วยตนเอง โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมาก ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ ได้กำชับทางด้าน พล.ต.ท.ฐิติราช เกี่ยวกับเรื่องการวางแนวทางสืบสวน และเรื่องของกรอบระยะเวลาที่อยากให้สามารถสรุปผลทางคดีได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนกุมภาพันธ์

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ผลทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน และยอมรับว่าบางอย่างอาจจะแตกต่าง แต่ไม่ได้ถึงขนาดไปคนละทิศทางกับผลของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โดยเชื่อมั่นในกองปราบว่ามีประสิทธิภาพจะสามารถเคลียร์ข้อกังขาประชาชนได้ ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวยอมรับว่าจะเป็นคดีคล้ายกับกรณีครูจอมทรัพย์ ซึ่งในกรณีนี้ต้องมีคนถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว และหากพบมีคนเกี่ยวข้องในการทำพยานหลักฐานหรือในส่วนที่ไม่ถูกต้องก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจท้องที่หรือไม่ก็ตาม

เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ยอมรับว่ามีบางส่วน แต่ตนยังคงยังไม่ขอกล่าวถึงเพราะเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี ซึ่งต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัด ทั้งนี้ ยืนยันว่าคดีนี้เมื่อถึงที่สุดแล้วจะต้องมีผู้ถูกดำเนินคดีแน่นอน คล้ายกับคดีครูจอมทรัพย์ ส่วนการที่ตนให้โอนสำนวนคดีมาให้ บก.ป.ก็เนื่องจากมีเหตุผล 3 ส่วน คือ 1.เรื่องของการไม่ได้รับความเป็นธรรม 2.ประชาชนให้ความสนใจ และ 3.มีการกระทำเป็นขบวนการ