ขอแสดงความนับถือ / ฉบับประจำวันที่ 9-15 กุมภาพันธ์ 2561

ขอแสดงความนับถือ

พ้นจากสัปดาห์นี้
เราก็จะก้าวเข้าสู่สัปดาห์แห่งความรักกันแล้ว
คงมีบุคคล และกลุ่มบุคคล ใช้วาระสีชมพูนี้ พยายามเรียกหาความรักจากประชาชน
หลังจากประชาชนมีท่าที “หมางเมิน” และ “จืดจาง”
ด้วยเห็นว่า บุคคลและคณะบุคคลเหล่านั้น เริ่มปกปิด “ลาย” พยัคฆ์ แห่งบูรพา ไม่อยู่
โดยไม่ยอมทำตาม “สัญญา” ที่ให้ไว้

ว่ากันตามไปรษณียบัตรของ “บรรณกร กลั่นขจร” (ที่ร้อนแรงยิ่งในยามนี้ และต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ก็ต้องบอกว่า นี่คือ “ลัก” มิใช่ “รัก”
ลักเอา “ประชาธิปไตย” ของประชาชนไปแล้ว
กลับยังไม่ยินยอมคืน
แถมพยายามใช้แท็กติกทุกรูปแบบ
ทั้งคำพูดที่ไม่อยู่ในร่องในรอย
พูด ก็บอกว่า ไม่ได้พูด
ทั้งออกคำสั่ง เพื่อใช้คำสั่งนั้นไปทำให้กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้
หวังเพื่อจะเลื่อนเลือกตั้งออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
เช่นนี้ จะยังให้หัวใจของชาวบ้าน จะเป็น “สีชมพู” เหมือนช่วง 4 ปีแรกได้อย่างไร
หากแต่เป็น “หัวใจสีดำ” อย่างในไปรษณียบัตรของบรรณกร กลั่นขจร มากกว่า!

ว่าแล้ว
ออกห่างจากหัวใจสีดำ ไปหารักสีหวาน ดีกว่า (ฮา)
เป็นรักที่เสียสละอย่างแท้จริง
โปรดพลิกไปที่หน้า 88
แล้วอ่านคอลัมน์ “ล้านนาคำเมือง” ของ “ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”
จะได้รู้ว่า ความรักประชาชนแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าประชาชนเดือดร้อนและเป็นทุกข์ เพราะตนเอง
อันเป็นที่มาของ “ตำนานพระนางสามผิว” อันซาบซึ้งใจ

เป็นตำนานเกี่ยวกับเมืองฝางที่คนล้านนาเล่าสืบต่อกันมา
เรื่องราวมีอยู่ว่า
สมัยหนึ่ง เมื่อพญาเชียงแสนได้ครองเมืองฝาง เฉลิมนามว่า “พระเจ้าฝางอุดมสิน”
มีชายาเป็นราชธิดาเจ้าเมืองล้านช้างนามว่า “พระนางสามผิว”
พระชายามีสิริโฉมงดงามนัก
ยามเช้า ผิวกายนางมีสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยฝ้าย
ยามบ่าย ผิวเป็นสีแดง
ยามตะวันอ่อน ผิวจะกลายเป็นสีชมพู

ข่าวความงามรู้ไปถึงพระเจ้าสุทโธธรรมราชาแห่งพม่า
กษัตริย์พม่าอยากยลโฉมงาม
จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้านำสินค้ามาขายที่เมืองฝาง และทำอุบายขอเข้าเฝ้าถวายผ้าเนื้อดีแก่พระชายา
ครั้นได้ยลโฉม ก็เกิดหลงรักสุดจะหักห้ามใจ
จึงกลับไปกรีธาทัพมาตีเมืองฝาง
ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
ผู้คนล้มตาย เสบียงอาหารร่อยหรอลง ผู้คนอดอยากได้รับความลำบาก
พระเจ้าฝางและพระนางสามผิวเห็นดังนั้นก็โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้ชาวเมืองเดือดร้อน
จึงได้ตัดสินใจกระทำบางอย่างเพื่อยุติสงครามนั้นลง

ตัดสินใจอย่างไร
คงต้องพลิกไปอ่านเอาเองที่คอลัมน์ล้านนาคำเมือง
อ่านแล้ว เชื่อว่าคงรู้สึกตรงกันถึงความรักที่มีต่อประชาชนอย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
แน่นอน ย่อมมากด้วยความเสียสละอย่างสูง
ซึ่งคงมิใช่เพียงแค่ลมปากที่บอกว่า “รักประชาชน”
แต่การกระทำต่างๆ กลับดูขัดแย้งกับสิ่งที่พูดอย่างสิ้นเชิง
เช่นนั้นแล้ว วาทกรรม “ไทยนิยม” ก็จะเป็นเพียง “ลมอันว่างเปล่า”
ไร้ความหมาย
ใจก็ดำ
แล้วยังมา “ลัก” ประชาธิปไตยจากประชาชนด้วยอีก

วาเลนไทน์ปีนี้
มีคนเรียกร้องว่า นอกจาก “รักผม” แล้ว
ให้รัก “รองนายกฯ” ของผมด้วย
ไม่ขัดข้อง ด้วยเป็นสิทธิอันชอบธรรม ที่ใครๆ จะเรียกร้องหารักได้
ขณะเดียวกันก็ควร “เปิดใจกว้าง” ให้กับคนอีก “หยิบมือหนึ่ง”
ที่เห็นว่า ถูก “ลัก” ประชาธิปไตยไป
จะลุกขึ้นมาทวง “รัก” ประชาธิปไตยของเขาบ้าง
โดยถือเอา 10 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ “คลิกออฟ”
จึงไม่ควรขัดข้อง ด้วยเป็นสิทธิอันชอบธรรมเช่นกัน
แต่ไฉน แทนที่จะเป็นเรื่องหวาน-หวาน กลับเป็นเรื่องขม-ขม
เมื่อเสียงขู่ จะจับกุมคนเหล่านั้น วันละหลายครั้ง
อย่า “หัวใจดำ” นักเลย