เขตกระแสกับเขตกระสุน | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ยิ่งเห็นแนวโน้มผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะผ่านการสำรวจโดยโพลสำนักต่างๆ ไปจนถึงการสำรวจข้อมูลจริงในพื้นที่ต่างๆ จะพบว่าพรรคที่มีคะแนนนิยมนำหน้าทุกพรรค และน่าจะได้รับชัยชนะเป็นอันดับ 1 ไม่พ้นพรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกัน กระแสพรรคก้าวไกล ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ ในหมู่ปัญญาชน ยังคงมาแรงไม่มีแผ่ว

จนน่าเชื่อว่า พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และพรรคการเมืองแนวคนรุ่นใหม่ คงจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

แต่ก็มีคำถามถึงพรรคการเมือง ที่เป็นนักเลือกตั้งมืออาชีพ

เช่น พรรคภูมิใจไทย ที่หนนี้ดูมีความพร้อมสูง ทั้งในการดูดนักเลือกตั้งที่มีฐานมวลชนหนาแน่นในหลายจังหวัด และพร้อมที่สุดคือคลังกระสุน ยังมีโอกาสจะชนะเลือกตั้งแบบได้ ส.ส.แตะร้อยเสียงหรือไม่

ไปจนถึงพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้มากบารมีเป็นหัวหน้าพรรค และเคยสำเร็จอย่างมาก ในการเลือกตั้งปี 2562

รวมทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีกระแส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ มีชื่อเสียงบารมี ทำให้เป็นที่พูดถึงกันไม่น้อย

ส่วนประชาธิปัตย์ ที่แม้จะประสบปัญหาถูกดูดไปมาก แต่ก็ยังมีฐานเดิมๆ สะสมมายาวนาน กำลังลุ้นเข้าสภาได้เป็นพรรคระดับกลาง

พรรคเหล่านี้ จะมีโอกาสขนาดไหน เป็นคำถามที่น่าหาคำตอบอย่างมาก ในช่วงการเลือกตั้งกำลังจะเข้าโค้งสุดท้าย

นักวิเคราะห์การเลือกตั้ง ประมวลจากกระแสและข้อเท็จจริงในพื้นที่ต่างๆ แล้ว เชื่อว่า แนวโน้มผลการเลือกตั้ง พอจะเรียงลำดับความแรงของพรรคต่างๆ ได้ดังนี้

อันดับ 1 คือ เพื่อไทย อันดับ 2 น่าจะขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคก้าวไกล อันดับถัดไปน่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐของบิ๊กป้อม กับประชาธิปัตย์ที่น่าจะมาแบบคู่คี่กัน และพรรครวมไทยสร้างชาติของบิ๊กตู่ น่าจะตามหลังมา

พูดง่ายๆ ว่า ที่ 1 คงเป็นเพื่อไทย ที่ 2 และ 3 ต้องดูระหว่างภูมิใจไทย กับก้าวไกล ที่ 4 และ 5 คงเป็นพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์ ส่วนรวมไทยสร้างชาติ น่าจะมาอันดับ 6

มองเช่นนี้แล้ว ก็น่ายินดีที่กระแสประชาธิปไตย ยังคงมาแรงกว่าทุกกระแส

เพียงแต่ต้องแยกเป็นประชาธิปไตยแบบกินได้ กับประชาธิปไตยแบบทะลุเพดาน เพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ

 

เอาเข้าจริงๆ ผลการเลือกตั้งนั้น ต้องมองปัจจัยจาก 2 ส่วน คือ 1.กระแสพรรค กระแสประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง กับ 2.กระบวนการจัดตั้ง ระบบการเลือกตั้งแบบนักเลือกตั้งมืออาชีพดั้งเดิม จะเรียกว่ากระบวนการบ้านใหญ่ก็ว่าได้ มีเครือข่ายหัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่น รวมทั้งมีกระสุน

ในแง่กระแสประชาชน กระแสพรรค ตอนนี้ชัดเจนว่า คะแนนนิยมในพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล พุ่งทะยานเป็นอย่างมาก

แต่ที่เพื่อไทยยังมีมากกว่าพรรคก้าวไกลก็คือ กระบวนการแบบนักเลือกตั้งอาชีพ นั่นคือ มีเครือข่ายหัวคะแนน มีผู้นำท้องถิ่น ส่วนก้าวไกลนั้น อยู่ภายใต้กระแสจริงๆ ไม่มีเครือข่ายมารองรับ

จึงกล่าวกันว่า ถ้าวัดจากโพลแล้ว พรรคก้าวไกลมาแรงแน่นอน เพราะคนตอบโพลมักจะเป็นคนในเมืองใหญ่ คนในเมืองหลวง คนในเขตอำเภอเมือง หรือพื้นที่ที่ตั้งมหาวิทยาลัย มากด้วยปัญญาชน

เหล่านี้ก้าวไกลได้คะแนนแบบกวาดเรียบ

แต่ถ้าออกนอกเขตอำเภอเมือง กระบวนการเลือกตั้งจะมีลักษณะที่ต่างออกไป ยังคงเน้นระบบหัวคะแนน เครือข่ายช่วงชิงคะแนน ไปจนถึงกระสุน ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นพื้นที่และเป็นระบบที่ก้าวไกลจะเสียเปรียบอย่างมาก

ดังนั้น ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจริง สำหรับพรรคก้าวไกลแล้ว อาจจะลดน้อยลงไปเมื่อเทียบกับคะแนนในโพลที่พุ่งแรง เพราะมีปัจจัยการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ไม่ใช่เขตกระแส แต่เป็นเขตกระสุน

ผลการเลือกตั้งสุดท้าย จะมีปัจจัยเครือข่ายบ้านใหญ่ เครือข่ายหัวคะแนน ที่จะส่งผลแปรผันต่อพรรคก้าวไกล

นั่นเพราะก้าวไกลคือพรรคการเมืองแนวใหม่จริงๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกสมัยหรือสองสมัย เพื่อยกระดับการเมืองไทยให้ปลอดพ้นระบบบ้านใหญ่ระบบหัวคะแนนได้

ส่วนพรรคเพื่อไทย ยังได้เปรียบกว่าก้าวไกลตรงที่ เดินหน้าการเลือกตั้งได้ทั้ง 2 ระบบ คือ ทั้งอาศัยกระแส และทั้งเครือข่ายบ้านใหญ่ ทั้งระบบหัวคะแนน

กล่าวเฉพาะในทางกระแส ที่เพื่อไทยมาแรงด้วยกระแสนั้น ก็คือ เป็นพรรคที่เดินแนวทางเลือกตั้งอิงเสียงจากมือประชาชนมาตลอด และถูกขัดขวางโค่นล้มด้วยอำนาจนอกระบบและอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง

ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมยึดครองอำนาจมา 8-9 ปี มีแต่ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และบ้านเมืองล้าหลัง

ส่งผลให้กระแสความต้องการของประชาชนในการเลือกตั้งหนนี้ ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการรัฐบาลที่มีความสามารถด้านเศรษฐกิจ มีผลงานทำให้เห็นมาแล้วในอดีต

กล่าวกันว่า เพื่อไทยคือผู้ทำการเมืองแบบประชาธิปไตยกินได้ เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนเชื่อมั่นในนโยบายที่มีผลต่อปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ได้จริงๆ

ประชาธิปไตยแบบประชาชนสามารถกินได้ ที่เป็นจุดเด่นของเพื่อไทย เมื่อเทียบกับประชาธิปไตยของก้าวไกล จะพบว่าแตกต่างกัน

จนเปรียบกันว่าถ้าต้องการประชาธิปไตยปากท้องก็เพื่อไทย ถ้าต้องการประชาธิปไตยแบบเปลี่ยนแปลงก็ต้องก้าวไกล

 

หากมองผลการเลือกตั้งแบบทะลุทุกมิติ เห็นถึงวิธีการเอาชนะให้ได้ ส.ส.เข้าสภา โดยมี 2 แนวทาง 2 ระบบ ก็จะพบว่า พรรคการเมืองที่มีครบถ้วนทั้ง 2 แนว คือ ทั้งกระแส และทั้งเครือข่ายหัวคะแนน ดังเช่น เพื่อไทย จะได้เปรียบมากที่สุด

ทั้งกระแสความต้องการของประชาชน ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปากท้อง เข้าทางเพื่อไทยอย่างมาก และมีระบบนักเลือกตั้งรองรับด้วย จึงครอบคลุมทุกด้าน

เช่นนี้เอง จึงทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคการเมืองอื่นๆ เช่น ภูมิใจไทย ก็ยังเป็นพรรคที่มีแนวโน้มได้ ส.ส.เข้าสภามาเป็นอันดับ 2 น่าจะแตะร้อย เพราะเป็นพรรคที่มีความพร้อมสูงในระบบนักเลือกตั้ง โดยแม้ภูมิใจไทยอาจไม่ได้กระแส แต่ได้นักเลือกตั้งมืออาชีพ ได้ระบบจัดตั้งหัวคะแนน แถมกระสุนเพียบพร้อม

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีความพร้อมในด้านนี้อย่างพอตัว

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า อาศัยชื่อเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเครือข่ายอำนาจรัฐบางส่วน ให้การสนับสนุนอยู่ จึงเป็นพรรคเกิดใหม่ที่ได้รับการพูดถึงอยู่ไม่น้อย

เพียงแต่โอกาสจะได้รับเลือกตั้ง โดยเฉพาะ ส.ส.เขตนั้น น่าจะฝากความหวังได้แค่เพียงกลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น ที่เป็นมืออาชีพมากหน่อย และมีอดีต ส.ส.ในมือเป็นกลุ่มเป็นก้อน

ทำให้พอจะประเมินได้ว่า คงได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาพอสมควร ด้วยชื่อเสียงบารมีของนายกฯ ประยุทธ์ แต่ ส.ส.เขตยังน่าห่วงว่าจะเกิน 20 เสียงได้สักเท่าไหร่

จนทำให้เกิดคำถามบ่อยๆ ต่อพรรครวมไทยสร้างชาติว่า จะได้เสียง ส.ส.เกิน 25 เสียง พอจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในสภาได้หรือไม่!?

แนวโน้มผลการเลือกตั้ง ช่วงเข้าโค้งสุดท้าย จึงน่าเชื่อว่า อันดับ 1 ไม่พ้นเพื่อไทย ที่มีระบบการเลือกตั้งครบทั้ง 2 ระบบ

ตรวจสอบแนวโน้มแล้ว เชื่อว่าเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เกิน 200 ขึ้นไปแน่นอน แต่ที่เพื่อไทยต้องการจริงๆ คือแลนด์สไลด์ ต้องเกินกว่า 250 ส.ส.ขึ้นไป ยิ่งถ้าถึง 280 จะยิ่งทำให้จัดตั้งรัฐบาลง่ายขึ้น และสามารถบริหารนโยบายที่ประกาศเอาไว้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

นี่เองที่ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย กล้าประกาศว่า จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่จับมือกับพรรค 2 ลุง ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร

เมื่อเข้าช่วงโค้งสุดท้าย คงยิ่งเห็นชัดมากขึ้นว่า การตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของเพื่อไทย จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน!!