ชีวิตวัว | เรื่องสั้น : กมุ หอมภูผกา

เรื่องสั้น | กมุ หอมภูผกา

ชีวิตวัว

 

ล่วงบ่ายกว่าจะต้อนฝูงวัวลงมาถึงท้องทุ่งชายหมู่บ้าน ดวงตะวันสาดแสงกล้า แต่ลมปลายฤดูหนาวหอบพัดไอเย็นทำให้ไม่รู้สึกร้อนนัก ชายเลี้ยงวัวปล่อยฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่งหลังเก็บเกี่ยว เขาเลี่ยงไปนั่งในร่มไม้ หย่อนก้นลงบนโคนมะตาดต้นใหญ่ริมลำห้วย ปลดย่ามจากบ่า แล้วมองไปรอบๆ ก่อนร้องตะโกนออกมา “แกมัวแต่ทำอะไร ฉันหิวข้าวแล้วนะ”

เมียของเขาจึงเดินออกมาจากกอผักกูดริมลำห้วย ตรงมาที่ชายเลี้ยงวัวผู้เป็นผัว เธอวางกระบุงลงแล้วเอาผักกูดที่เพิ่งเก็บออกมา จากนั้นนำห่อข้าวออกมายื่นให้ผัว อีกห่อวางไว้กับตักตัวเอง เธอนำพริกป่นออกมาเทใส่ถ้วย เปิดปลากระป๋องเทตามลงไป ใช้ช้อนบี้เนื้อปลาให้เละ คลุกให้เข้ากันเป็นน้ำพริกปลากระป๋อง

ชายเลี้ยงวัวลุกไปล้างมือในลำห้วยแล้วกลับมานั่งที่เก่า ล้วงหาขวดเหล้าในย่ามที่เหลือเพียงก้นขวดออกมากระดกดื่ม แล้วลงมือแกะห่อข้าว ปั้นข้าวก้อนหนึ่งวางบนใบไม้ที่เด็ดไว้เมื่อไปล้างมือ ใช้ปลายนิ้วจกน้ำพริกปลากระป๋องวางลงบนข้าว นำไปวางไว้บนรากมะตาดที่โผล่พ้นดินเพราะน้ำเซาะในฤดูน้ำหลากให้เจ้าที่ เขากลับมานั่งอีกครั้ง ลงมือจกน้ำพริกขยำกับข้าว จกเข้าปากแล้วกินผักกูดตาม

“ทุกทีสินะ” ชายเลี้ยงวัวร้องขึ้น ข้าวยังเต็มปาก “แกนี่ชอบหลงชอบลืม ไม่นานแกก็คงจะลืมลูกลืมผัวหมดนั่นแหละที่รัก”

เมียของชายเลี้ยงวัวนิ่งอึ้ง ก่อนรีบล้วงห่อใบตองอีกห่อในกระบุงออกมา ดึงกลัด คลี่ใบตอง นำหนูย่างเกลือออกวางในห่อข้าวของผัว ผัวของเธอจ้องหน้า เลือกคำพูดเพื่อให้เธอได้จำ “แกนี่ก็ไม่ต่างจากวัวนักหรอกว่ะ” แล้วส่ายหัวด้วยความเอือมระอา

เธอก้มหน้านิ่ง ฟังเสียงถอนหายใจหนักและยาวของผัว

เจ้าหางกุดวิ่งออกมาจากพงหญ้าริมลำห้วย เนื้อตัวเปียกปอน มากระดิกหางสั้นกุดอยู่ข้างชายเลี้ยงวัว “เวลากินล่ะไว เวลางานล่ะหาไม่เจอ” เขาพูดกับหมาตัวเอง แล้วโยนเศษกระดูกหนูย่างเกลือชิ้นเล็กจิ๋วให้มันไล่ตะครุบ ก่อนมันจะกลับมานั่งข้างๆ สั่นหางดิกๆ อีก

 

ฤดูเพาะปลูก รอบหมู่บ้านไม่เหลือพื้นที่ให้วัวหากิน ต้นข้าวโพดซ้อนกันอยู่บนภูเขาสูงๆ ต่ำๆ จรดฟ้า ที่ราบริมลำห้วยก็เป็นท้องนาผืนเล็กๆ และเป็นสวนกล้วยทอดยาวจรดป่าใหญ่ ชายเลี้ยงวัวต้องต้อนฝูงวัวขึ้นไปเลี้ยงบนภูเขากลางป่าลึก เจ้าหางกุดคอยทำหน้าที่ส่งเสียงไล่วัวให้เดินรวมกันเป็นฝูง บางครั้งมันก็ตามกลิ่นสัตว์ป่าให้ เมียของเขาคอยหุงหาและทำงานเล็กๆ น้อยๆ วัวต้องอยู่ในป่าลึกตลอดฤดูเพาะปลูก เขากับเมียและเจ้าหางกุดต้องนอนค้างในป่าครั้งละนานๆ กลับบ้านมาเฉพาะเบิกเสบียงจากเจ้านายที่เขารับจ้างเลี้ยงวัวให้ จากนั้นก็กลับเข้าป่าไปอีก รอจนเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จ จึงจะต้อนฝูงวัวออกจากป่าลึกบนภูเขา กลับมาเลี้ยงมันอยู่ตามทุ่งนาจนฤดูเพาะปลูกเวียนมาอีกครั้ง

“กินข้าวเสร็จ ไปเชื่อเหล้ามากั๊กหนึ่งนะ”

“อีกแล้วหรือพี่”

“ใช้ให้ไปก็ไปเถอะน่า” ชายเลี้ยงวัวจ้องหน้าเมีย

ผิดอีกแล้ว เมียของชายเลี้ยงวัวคิด เธอจะทำอะไรก็ผิดเสมอ ผัวของเธอจึงบ่นด่าไม่เว้นวัน ไม่อยากฟังแต่ก็หนีไม่พ้น เมื่อเช้าเธอตื่นหุงหาตั้งแต่ฟ้ายังมืด ทำอะไรให้เบามือไม่ให้รบกวนผัวที่กำลังหลับสนิท เธอยิ้มอย่างภูมิใจหลังจากหุงข้าวเสร็จ นั่งย่างหนูจนสุกโดยไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนผัว คิดว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกิน ไม่ต้องถูกบ่นแต่เช้า แล้วผัวของเธอจะต้อนฝูงวัวออกจากป่ากลับไปเลี้ยงในทุ่งนาใกล้บ้าน อยู่บ้านจะทำอะไรๆ มันก็สะดวกสบายกว่าอยู่ในป่า

เธออังมือกับกองไฟที่หุงหาเสร็จอย่างมีความสุข แมลงตัวหนึ่งลอดร่องฝากระต๊อบเข้ามาบินวนอยู่รอบกองไฟ บินเข้าๆ ออกๆ บางขณะก็บินใกล้กองไฟจนน่ากลัวจะหลุดเข้าไป แต่ก็ถอนตัวออกมาได้ทัน แล้วก็บินใกล้เข้าไปอีก ทีละนิดๆ ช่างไม่ประสาอะไรเลย เดี๋ยวก็ต้องถูกไฟเผาเป็นจุณแน่ล่ะ เธอคิด มองมันบินวนเวียนอยู่รอบกองไฟไม่วางตา มันบินวนไปมาซ้ำๆ ค่อยๆ บินเข้าใกล้กองไฟอีก มันบินเข้าใกล้กองไฟมากกว่าครั้งก่อนๆ ชั่วกะพริบตามันดีดตัวออกมาจากกองไฟสุดแรงหนีความร้อน ร่างของมันลอยผลุบหายเข้าไปในรูจมูกของเธอ มันดิ้นรนหาทางออก

ฮะเช้ย!

“ฉันอยากจะเอามีดเฉือนจมูกแกออกจริงๆ”

เธอรีบเอามือกุมจมูก

รวบห่อข้าวของผัวและของตัวเองเข้าด้วยกัน นำเศษข้าวให้เจ้าหางกุด แล้วลุกไปล้างมือในลำห้วย ล้างถ้วยน้ำพริกแล้วจึงวักน้ำดื่ม เธอมองเห็นปลาตัวเล็กๆ ว่ายอยู่ในกระแสน้ำใสแจ๋ว พวกมันผลุบโผล่รวดเร็วเหมือนเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรในชีวิต

ชายเลี้ยงวัวเอนหลังพิงโคนมะตาด มองออกไปยังท้องทุ่งโล่งกว้าง ฝูงวัวกระจายกันเล็มหญ้าทั่วทุ่ง ชูคอส่งเสียงร้อง อูบ่อ…อูบ่อ… ประสานกระดึงดัง โตงเตง…โตงเตง บรรดาลูกวัวกระโดดโหยงๆ ส่งเสียงร้อง แอะ…แอะ…แอะ… เขาม้วนยาเส้นจุดสูบ ควันยาสูบลอยเอื่อยๆ ขึ้นไปบนฟ้ารวมกับปุยเมฆที่ขาวฟ่อง เมื่อยาเส้นหมดมวน เขาเอนตัวลงอีกเล็กน้อย หลับตาลงช้าๆ

เมื่อรู้สึกตัวตื่น เขาเห็นขวดเหล้าวางอยู่ข้างตัว มองเห็นเมียทอนกิ่งไม้อยู่อีกฟากทุ่ง เขารู้สึกไม่พอใจเธอขึ้นมาตงิดๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอชอบทำอะไรให้ขัดใจตลอดเวลา เขาเปิดฝาขวดแล้วรินหัวเหล้าลงดิน ยกกระดกดื่ม ลุกขึ้นป้องปากตะโกน “ที่รัก ถ้าเธอขยันอย่างนี้ เธอหาผัวได้อีกหลายคนเลยล่ะ”

แต่เมียไม่ได้ยิน เสียงกระดึงวัวประสานกันดังกลบเสียงอื่นหมด อารมณ์ของชายเลี้ยงวัวเดือดพล่านขึ้นมาทันที เขาก้าวออกจากโคนมะตาดแล้วร้องตะโกนไปอีกครั้ง “แกจะรีบเก็บฟืนไปเผาตัวเองรึไง” เธอยังคงไม่ได้ยิน และกำลังเพลิดเพลินกับความคิดตัวเองว่า หาฟืนไว้แต่เนิ่นๆ นั้นดีแล้ว ถึงหน้าร้อนจะได้ไม่ต้องลุยแดด

ชายเลี้ยงวัวล้วงเอาหนังสติ๊กในย่ามออกมา ดึงสายหนังเล็งไปที่หัวของเมียอีกฟากทุ่ง กระสุนพุ่งแหวกอากาศ เมียของเขาได้ยินเสียงหวืดข้างหูจึงเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว เห็นผัวยืนมองอยู่จึงละมือจากงานเดินไปหาด้วยความสงสัย เธอหรี่ตาหน้าหยีเพราะแสงแดดบ่ายส่องหน้า ชายเลี้ยงวัวคิดว่าเมียกำลังยิ้มเยาะที่เขายิงพลาดทำให้เนื้อตัวสั่นด้วยความโกรธจัด

ทันทีที่เมียมาถึงตัว เขาจึงเงื้อฝ่ามือหยาบหนาตบลงบนแก้มเมียสุดแรง เธอหงายหลังก้นกระแทกพื้นดังตุบ ไม่ทันพูดอะไร มือนั้นก็กระชากผมของเธอให้ลุกขึ้น ตบอีกครั้ง เมื่อผัวปล่อยมือร่างเธอจึงทรุดกองกับพื้น รู้สึกชาทั้งใบหน้า น้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาปนกับเหงื่อ เธอใช้แขนปาดเช็ดมัน ลุกไปที่ลำห้วย วักน้ำขึ้นล้างหน้าช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ยังรู้สึกแสบชา น้ำตายังไหล เธอพยายามห้ามมันไว้ กลับไปนั่งบนคันนา เหม่อมองฝูงวัวที่ไม่รับรู้อะไร

ชายเลี้ยงวัวเดินมานั่งข้างเมีย มองรอยนิ้วมือตัวเองประทับบนใบหน้านั้นแล้วนึกเวทนา ทำไมนะทำไมเธอจึงชอบให้เขาลงไม้ลงมือเสมอ ไม่รู้จักจดจักจำบ้าง ทำไมนะ ทำไมต้องทำให้เขาอารมณ์เสียเสมอ เขาไม่เคยอยากจะลงไม้ลงมือกับเธอเลย แล้วเอ่ยขึ้น “แกไม่จำเป็นต้องรีบหาฟืนเลย ถึงเวลาฉันจะจัดการมันเองนั่นแหละ มีไม้ล้มมากมายในป่า แกจะเสียเวลาหาเศษกิ่งเศษก้านไปทำไม”

น้ำตาของเธอไหลออกมาอีกครั้ง ไหลออกมาแทนคำพูด ผัวของเธอจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น สุดท้ายเธอจะต้องเป็นคนหาฟืน หากวันหนึ่งไม่มีฟืนสำหรับหุงหาอาหาร คนผิดจะเป็นเธอ

ชายเลี้ยงวัวเห็นน้ำตาเมียไหล เข้าใจว่าเธอซาบซึ้งถึงสิ่งที่เขาพูด จึงเอ่ยขึ้นมาอีก “ฉันจะไปยืมเลื่อยของนาย เอาใครสักคนมาช่วย ไม้ต้นหนึ่งเราก็มีฟืนใช้ทั้งปี ไม่ต้องเสียเวลาคอยหาอยู่ทุกวัน” แล้วลุกขึ้นยืน ก้าวเดินช้าๆ ท่ามกลางแสงแดดรอนๆ อาบไล้ร่าง มองดูเหมือนเขาสวมเสื้อที่ชุบด้วยเกล็ดทอง

หากมีใครสักคนผ่านมาพบเห็นก็จะเอ่ยขึ้นว่าช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน

 

ชายเลี้ยงวัวก้าวต่อไปยังฝูงวัว เริ่มต้นร้องสั่งให้พวกมันกลับคอก เจ้าหางกุดส่งเสียง โฮ่ง…โฮ่ง…พวกวัวหันรีหันขวาง ลูกวัวกระโดดโหยงๆ แม่วัวตัวที่แก่สุดในฝูงออกเดินตามคำสั่ง วัวตัวอื่นๆ จึงทยอยเดินตาม ชายเลี้ยงวัวออกคำสั่งสลับกับการยิงหนังสติ๊กใส่พวกมัน วัวย่ำดินแห้งๆ จนเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นท่วมฝูง มองเห็นแต่สันหลังของพวกมันเคลื่อนขยับขึ้นลงเป็นขบวนสูงๆ ต่ำๆ เสียงกระดึงดัง โตงเตง…โตงเตง…ประสานเสียงย่ำดินดัง ตึก…ตึก…ตึก…ตึก…

วัวข้ามพ้นทุ่งมาอยู่ใต้ร่มจามจุรีที่ขึ้นเป็นแนวแบ่งเขตท้องทุ่งกับหมู่บ้าน แล้วเดินเข้าคอกที่อยู่มาตลอดฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว ยกเว้นลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ในป่าลึก พวกมันเพิ่งจะเริ่มชีวิตในฤดูร้อนกลางท้องทุ่งโล่งเป็นครั้งแรก ชายเลี้ยงวัวดึงลำไผ่มาปิดทางเข้าคอก ดึงเหล้าขึ้นกระดกดื่ม แล้วออกเดินบนทางดินเล็กๆ เข้าไปในหมู่บ้าน ชั่งใจว่าจะไปเบิกเงินกับนายจ้างหรือไม่ เขาเบิกเงินใช้ล่วงหน้ามาหลายเดือน นายจ้างจะต้องบ่นเขาเหมือนเด็กๆ เขาตัดสินใจตรงไปยังร้านค้าหมู่บ้าน หันหลังเห็นเมียเดินตามมาห่างๆ จึงตะโกนออกไป “กำลังคิดถึงชู้รักคนไหนล่ะ ถึงกับไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงเชียวนั่น”

เมียของเขาเร่งเท้า

ทั้งสองเดินออกถนนคอนกรีตที่ทอดผ่านหมู่บ้าน เลี้ยวซ้ายแล้วเดินต่อไปจนถึงร้านค้าเจ้าประจำ “เย็นนี้เราจะกินอะไรกันดีที่รัก” ชายเลี้ยงวัวถามเมีย

“ฉันอยากจะได้เต้าหู้แห้งสักถุง เอาไปผัดกับผักกูด”

“บ๊ะ! ฉันกินผักกูดจนกลิ่นตัวเป็นผักกูดแล้วนะ” แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหูเมีย “ที่รัก ฉันอยากจะกินปลาดุกย่างล่ะ ปลาดุกย่างนั่นแหละ เธอว่ายังไงล่ะ” แล้วเดินเข้าร้านไป

“ฉันจะมาเชื่อของอีกสักหน่อยนะ” ชายเลี้ยงวัวพูดกับเจ้าของร้าน

เจ้าของร้านกำลังยุ่งกับลูกค้าคนอื่นจึงไม่ได้ตอบกลับไปทันที เขาจึงพูดขึ้นอีก “เมื่อกี้ตั้งใจว่าจะเบิกเงินกับเจ้านายนั่นล่ะ แต่เจ้านายเข้าเมืองยังไม่กลับ เลยว่าจะขอเชื่อสักวันสองวัน และก็ที่ค้างไว้เมื่อครั้งก่อนโน้น และก็เมื่อบ่ายที่เมียฉันมาเอาเหล้า อีกวันสองวันเบิกเงินแล้วก็จะจ่ายทีเดียวนั่นล่ะ จดไว้หมดแล้วใช่ไหมล่ะจ๊ะ”

เจ้าของร้านนึกรำคาญคำพูดชายเลี้ยงวัว แต่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “มีเมื่อไหร่ก็มาจ่ายเถอะ เรามันก็ทำมาหากินด้วยกันทั้งนั้น”

“ฉันนี่เข้าใจหัวอกคนขายของดี มีคนมาเชื่อของก็ปฏิเสธลำบากใช่ไหมล่ะ ลูกค้าบางคนนี่ใช้ไม่ได้ ชอบเบี้ยว อ้างโน่นอ้างนี่ ฉันรู้ ฉันนี่นะเวลาไม่มีเงินฉันก็มาเชื่อหรอก แต่พอได้เงินก็รีบมาจ่ายทุกครั้งแหละ ใช่ไหมล่ะ” ชายเลี้ยงวัวพูดยืดยาว

“จะเอาอะไร” เจ้าของร้านตัดบท

“ฉันอยากได้ปลาดุกสักกิโลหนึ่งจ้ะ แล้วก็ เอ่อ…เหล้าขวดเหล็กอีกสักขวดจ้ะ”

ชายเลี้ยงวัวหิ้วปลาดุกดิ้นขลุกขลักในถุงเดินออกมายื่นให้เมียที่ยืนรออยู่หน้าร้าน “แกจะเอาอะไรอย่างอื่นบ้างไหมล่ะ”

เมียของเขามองลูกชิ้นและฮอตดอกทอดเสร็จใหม่ๆ วางบนถาดหน้าร้านส่งกลิ่นหอมฉุย

“อยากกินฮอตดอกสักไม้จัง”

“เอ้…แกนี่ ฉันก็ให้แกกินทุกคืนนี่นา ยังไม่หนำใจอีกรึไง” ชายเลี้ยงวัวหลิ่วตาให้เมียแล้วโอบเอวเธอออกเดิน เมื่อถึงบ้าน เขาผลัดผ้า นุ่งโสร่งผืนเดียว ไปนั่งอยู่ระเบียงหน้าบ้าน รินเหล้าลงแก้วแล้วกระดกดื่ม เขาหยีหน้าส่งเสียง “อ่า” แล้วออกจากบ้านไป

เจ้าหางกุดกระดิกหางสั้นกุดวิ่งตามเจ้านายไปติดๆ

 

เมียของเขาเร่งก่อไฟตั้งหม้อข้าว ทุบหัวปลาดุก นำพริกแห้ง กระเทียม ขมิ้นและเกลือลงครกโขลก แล้วลงคลุกกับปลาดุก นำปลาดุกลงตะแกรง รอข้าวในหม้อแตกเม็ด ยกลงเช็ดน้ำ น้ำแห้งแล้วใช้ไม้คนข้าวปาดแต่งหน้าข้าว ปิดฝาหม้อ ยกตั้งบนก้อนเส้าให้ร้อนแล้วยกลง คีบถ่านแดงๆ วางบนฝาหม้อ จากนั้นดึงฟืนในกองออก เหลือไว้แต่ถ่านแดงๆ ร้อนจัด

เธอนำปลาขึ้นย่าง มันปลาหยดลงกองถ่านส่งเสียง ฉี่…ฉี่… ลุกเป็นไฟให้ต้องยกปลาดุกหนีเป็นระยะ เธอนึกขึ้นได้ว่าเล็บเท้ามันยาวเกินไปแล้ว จึงลุกไปหยิบกรรไกรตัดเล็บ ชั่วขณะที่เธอเดินออกไป มันปลาดุกทั้งหมดได้พากันหยดลงบนกองถ่านอย่างพร้อมเพรียงแล้วลุกพรึบเป็นเปลวไฟเผาปลาดุกอย่างรวดเร็ว เธอรีบกลับมายกตะแกรงขึ้นด้วยหัวใจแตกสลาย

ชายเลี้ยงวัวกลับมาเมื่อฟ้ามืดแล้ว เขาหนีบเหล้าขวดใหม่ไปนั่งอยู่ระเบียงหน้าบ้าน

“กินข้าวเลยไหมจ๊ะพี่”

“ถ้าไม่กินตอนนี้ เราก็คงจะต้องกินกันพรุ่งนี้ล่ะจ้ะที่รัก”

เธอจึงลงมือคดข้าว ชายเลี้ยงวัวนั่งนิ่งอยู่หน้าบ้าน รอจนเมียจัดสำรับเสร็จจึงลุกขึ้นไปล้างมือกลับมานั่งหน้าสำรับ ทันทีที่เห็นปลาดุกย่างในจานไหม้ดำไปด้านหนึ่ง เขาก็จ้องหน้าเมียเพื่อขอเหตุผล

“ฉันเผลอทำมันไหม้ไปหน่อยหนึ่งล่ะ”

เลือดในกายชายเลี้ยงวัวฉีดพล่านด้วยความโกรธจัดทันที เขามองหน้าเมียด้วยแววตาลุกวาวดุร้าย “ฉันทนไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ฉันจะพาแกไปอยู่กับวัวในคอกเดี๋ยวนี้แหละ” พูดแล้วก็กระชากแขนเมีย ลากลงจากบ้าน ผลักร่างของเธอออกไปในความมืด ตะโกนไล่ให้ไปอยู่กับวัวด้วยถ้อยคำกระด้างหยาบคาย •