ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์
สนทนาธรรมกับ ‘พระพยอม’
จากบิณฑบาตชีวิต ‘ตะวัน-แบม’
ถึงการเตือนสติคนไทยใน ‘การเลือกตั้ง’
“พระพุทธเจ้าท่านทรงอดอาหารแบบสุดขีด แต่ท่านก็ถอยกลับมาเสวยอาหาร และเดินหน้าใหม่จนบรรลุธรรมได้ ถ้าเราจะเสนอแนะให้น้องทั้งสองคนคิดอย่างงี้บ้างน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องทั้งสอง และประเทศชาติ เพราะอุดมการณ์แล่นอย่างเดียว แต่สังขารมันไม่ไปด้วยมันก็ไม่ได้”
พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แสดงความห่วงใยต่อน้องตะวัน-แบม
เอฟเฟ็กต์ ตะวัน-แบม
พระพยอมบอกว่า หลังจากที่ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องขอบิณฑบาตชีวิตไป วันก่อนก็มีคนมาว่าเราอยู่พอสมควรว่า “เป็นพระไม่ค่อยรู้เรื่องก็อย่ายุ่ง” แต่สำหรับเราที่เป็นพระ ถ้ามีอะไรที่ช่วยให้สังคมดีได้เราก็อยากช่วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร อย่างสามีภรรยาทะเลาะกัน พระพุทธเจ้ายังบอกให้ไปคืนดีกัน เรารู้อยู่ว่าการไปขอบิณฑบาตให้เด็กทั้งสองคนเลิกอดอาหารก็ไม่ได้ผิดอาบัติข้อไหนเลย
ตอนนี้ถ้าเรามาพิจารณาดู สิ่งที่คนเขาพูดกันว่าน้องทั้งสองคนอาจจะเพลี่ยงพล้ำ ถ้าเขาอยู่เขาไม่ตาย จะมีทั้งร่างกายที่สมบูรณ์ มีสมอง และอุดมการณ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าอุดมการณ์มันนำชีวิต ควรจะให้ชีวิตหล่อเลี้ยงอุดมการณ์ ถ้าหากเอาแต่อุดมการณ์ และทิ้งชีวิตมันจะไปมีประโยชน์อะไร
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลกสำหรับชีวิตสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ด้วยอาหาร” กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง แต่น้องจะยกกองทัพสองคนไปอดอาหาร เราก็มองว่ามันน่าจะมีวิธีอื่น
อย่างพระพุทธเจ้าที่อดอาหารสุดขีดก็ถอยกลับมาเสวยอาหารและเดินหน้าใหม่จนบรรลุธรรมได้ ถ้าเราจะเสนอแนะให้น้องทั้งสองคนคิดอย่างงี้บ้างน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องทั้งสองและต่อประเทศชาติ เพราะอุดมการณ์แล่นอย่างเดียว แต่สังขารมันไม่ไปด้วยมันก็ไม่ได้
หากเปรียบเปรยว่าถ้าคุณนอนติดเตียงมันจะประท้วงได้เท่าไหร่ ยิ่งคุณหมดลมหายใจ การประท้วงของคุณมันก็แค่ไปจุดกระแสให้สังคม ผู้ที่ต่อสู้เรื่องอดอาหาร อาทิ คุณฉลาด วรฉัตร หรือใครต่อใครก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องมีน้ำผึ้งเพื่อจะพอหล่อเลี้ยงร่างกายได้
พระพยอมกล่าวว่า “ไม่อยากให้คนใช้วิธีนี้ (อดอาหาร) มากเกินไป ถ้าใช้วิธีนี้ไม่กี่วัน พอให้คนรับรู้ว่าเรายอมอดเพื่อให้คุณผ่อนหนักผ่อนเบากันบ้างแล้วค่อยเริ่มใหม่ อย่าให้ชีวิตมันต้องจากไป”
สังคมเราควรจะถอดบทเรียนเรื่องนี้อย่างไร?
เราต้องมาคิดกันดูว่าในช่วงที่พระพุทธเจ้าทดลองอดอาหารเพื่อเป็นวิธีหนึ่งที่จะพ้นทุกข์ อันนี้ก็เช่นกัน อดเพื่อที่จะเป็นวิธีหนึ่งให้เขายอมบ้าง แต่ความคิดหัวก้าวหน้าแบบนี้มันควรจะคิดไปข้างหน้าสัก 10-20 ปี เพราะตอนนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมยังไม่ได้ล้มหายตายจากกันไปไหน จะให้สังคมเปลี่ยนไปเลยก็คงยาก
เราจึงกลัวประเด็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่คราวนี้มันสองหยด เพียงแต่ว่าฝ่ายที่ถืออำนาจจะปรามเรื่องนี้ได้อยู่ไหม ถ้าปรามอยู่เรื่องมันก็สงบไป แต่ธรรมชาติของมนุษย์แม้ปืนจะจ่ออยู่ที่หัวมันก็มีโอกาสตกได้ และฝ่ายที่โดนปืนจ่อก็อาจฮึดขึ้นมาได้ แต่เป็นหรือตายก็อีกเรื่องหนึ่ง
เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวด้วยว่า อยากให้น้องทั้งสองคนอยู่ดูโลกที่จะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่าลาโลกแบบไม่เห็นอะไรเลย อยากบอกคนที่จะเชียร์ข้างใดข้างหนึ่งว่า ประเทศไทยเสียโอกาสที่จะเจริญกว่านี้ไป 5 ปี 10 ปี ประเทศไทยต้องเสียทรัพย์สิน เสียญาติพี่น้อง เพราะการแบ่งฝ่ายแบ่งพวก
“พอกันได้แล้วล่ะ ตอนนี้เราเจอทั้งโควิด เจอทั้งฝุ่น เดี๋ยวจะเจออะไรอีกก็ไม่รู้ มาตั้งท่าป้องกันเรื่องพวกนี้ดีกว่า เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ขอบิณฑบาต ไม่ใช่เรื่องน้องแบมกับตะวัน แต่ขอบิณฑบาตพวกเลือกข้างเลือกสี พวกชอบดึงคนเข้ามาอยู่ฝั่งตนเองแล้วขับไล่อีกฝ่ายออกไป พวกบ่างช่างยุ หยุดได้แล้วเพื่อความเจริญของประเทศ”
พระพยอมมองเมตตาธรรม-สังคมเรา ว่ามีอยู่สองอย่าง คือ “ผู้ใหญ่” และ “ผู้น้อย” ผู้ใหญ่ก็ควรมีเมตตาต่อเด็ก ถ้าเด็กมีความทุกข์มากผู้ใหญ่ก็ต้องคอยช่วยเหลือให้เด็กพอคลายความทุกข์ได้บ้าง
แต่ถ้าเด็กเองมีความก้าวร้าว หัวแข็งหรือมีความจองหอง มันก็ผิดหลักของคนในช่วงวัยที่ต่างกัน
บ้านเมืองตอนนี้มันมีสองฝ่าย คือ ฝ่ายอนุรักษ์ และฝ่ายไม่ใช่ ฝ่ายอนุรักษ์ก็ด่าเรา ฝ่ายไม่ใช่ก็มีด่าเราบ้าง
สิ่งที่สังคมตอนนี้ควรจะยึดถือร่วมกัน
ถ้าตามหลักศาสนาให้คิดว่าเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายในประเทศเดียวกัน
ถ้าเรามาทะเลาะกันเอง ต่างชาติยกทัพมาเราจะทำอย่างไร
คนไทยมันเป็นอย่างนี้มาตลอด ต่างชาติมาตีเราร่วมกันรบ ต่างชาติไม่มารบเรารบกันเอง
ถ้าเราไม่ตีกันเอง เราคงสามารถเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียได้
ไม่น่าจะเป็นแมวป่วยอย่างทุกวันนี้
เลือกตั้งปีนี้คนไทยควรตั้งสติ
และจะมีความหวังอะไร?
พระพยอมกล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคที่สังคมตกต่ำทางศีลธรรมกันในทุกวงการทุกแขนง จากข่าวทั้งการเมืองและเรื่องวงการเทาๆ อาตมามองว่า คนไทยทำอะไรอย่าหวังแต่กล้วย อย่าเห็นแก่เงิน อย่าเป็น “ทาสเงิน” ทาสวัตถุนิยม
อย่าไปเป็นหนี้เป็นสินเพราะอยากได้แบรนด์เนมหรูๆ แพงๆ
มีคนเล่าให้ฟังว่ามีคนยอมไปกู้หนี้นอกระบบเพื่อจะมาซื้อของแบรนด์เนมพวกนี้ ยอมจ่ายแต่ดอกเบี้ยเดือนละหลายพันบาท เพื่อที่จะได้มีแบรนด์เนมไว้ครอบครอง แต่พอถึงเวลาไม่มีจ่ายก็โดนทำร้ายร่างกาย
เพราะฉะนั้น คนไทยมาอยู่กันแบบสมถะ รักความสงบแล้วประเทศจะก้าวหน้าไปอีกเยอะ
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” ความสุข (อื่น) ยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
“เพราะฉะนั้น เลือกตั้งครั้งนี้ขอให้คนไทยไปด้วยหัวใจที่ไม่เป็นทาสเงิน ทาสกล้วย แล้วก็ไม่เป็นทาสโน้มน้าวที่ใครปลุกระดมให้เกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง ไปเลือกด้วยหัวใจที่เป็นกลาง”
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022