2518 | เรื่องสั้น : จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์

2

พฤษภาคม ปี 2557 ภรรยาผมแท้งลูกคนที่สอง กระทั่งหมอวินิจฉัยให้ผ่าตัดมดลูกออก หลังรักษาอาการจนหายดี เธอก็ย้ายตัวเองไปทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นเหตุผลต้องส่งลูกสาววัยสี่ขวบไปอยู่กับคุณยายที่ต่างอำเภอด้วยความจำใจ

นับแต่นั้นชีวิตผมก็เหมือนพลัดหลงอยู่บนขบวนรถไฟที่ไร้จุดหมาย

ในบางชั่วขณะ ราวกับว่ามีรถไฟความเร็วสูงอีกขบวนวิ่งผ่านความจริงตรงหน้าผมไป ครืนครันของฝีจักร กลืนกลบทุกเสียง ภาพเลือนๆ ของความจริงเลื่อนไหลไปอย่างเร็ว แทบมองไม่เห็นว่ามีคนอยู่บนขบวนรถ รับรู้ได้เพียงกลิ่นฉุนของน้ำมันเครื่อง และกลิ่นควัน รวมถึงเสียงดังที่กระแทกอยู่ข้างหู ทะลุทะลวงเข้าไปในทุกส่วนภายใน สั่นไหว นั่งตัวเกร็งอยู่ตรงนั้น ภาวนาให้มันผ่านไปโดยไว

ขบวนรถสายนั้นไม่เคยแวะจอดรับผู้โดยสารที่สถานีใด มันเอาแต่แล่นไปตามเส้นทางคดโค้งของวันและคืน ตั๋วที่ถืออยู่ในมือมีเพียงตัวเลข 2518 ซึ่งเป็นปีเกิดของผม ตัวอักษรและรายละเอียดอื่นนอกจากนั้นล้วนเลือนหายไปนับแต่นาทีที่ทิ้งตัวเอนหลังกับพนักพิงเก่าๆ ในตู้โบกี้อันร้างไร้เพื่อนร่วมทาง

นอกจากเสียงลมอื้ออึง และเสียงล้อเหล็กครืนครัน บางชั่วขณะผมจะได้ยินเสียงบทสนทนาเมื่อหลายวันก่อน แว่วอยู่ข้างหู

“พอลูกไปอยู่โรงเรียนประจำ เราอาจได้คุยกับลูกแค่สัปดาห์ละสองวัน”

“เพิ่งมัธยมต้นเองนะคุณ เด็กยังต้องการพ่อแม่อยู่นะ ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ตลอดห้าวันนี่มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”

ตลอดช่วงหลายปีก่อนนั้นหลังชีวิตแต่งงาน ผมยังคงมีอิสระที่จะอ่านเขียนอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ผมนั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดคำนึง หากแต่ความรู้สึกอิสระเหล่านั้น ผมมองเห็นมันด้วยความรู้สึกอีกแบบ เป็นความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ในทุกชั่วขณะที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ภรรยาและลูกสาว ต่างใช้ชีวิต เดินสวนกันไปมาอยู่รอบกายผม เปลี่ยนผ่าน หลุดหายไปจากวงโคจรทีละคนสองคน ไม่มีแม้สักคนหลุดเข้ามาอยู่ในพื้นที่ชีวิตของผม ราวกับว่าพวกเขารอให้ผมลุกเดินออกไป คว้ามือใครสักคนมากุมไว้ และพูดประโยคแรกที่พวกเขาต่างรอคอยมาเนิ่นนาน

“ขอโทษ”

 

5

ในบางสถานที่ เมื่อกลับไปอีกหน ผมกลับซ่อนความรู้สึกก่อนนั้นไว้ไม่ได้ มิใช่เพราะความมืด หรือแสงสว่าง ทั้งมิใช่เพราะลมที่พัดไหวยอดหญ้า และดอกไม้ที่โปรยกลีบของมันหายไปในแสงแดดอะไรนั่นหรอก

ลองทบทวนถึงสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น กับการลำดับเหตุการณ์ของเรื่องราวที่ผ่านพ้น มันก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับการวางเรียงเม็ดทรายบนหินก้อนใหญ่ ความหนักแน่น และบางเบา ความไร้เหตุผล และการมีเหตุผล สิ่งเหล่านี้ไม่ได้รองรับน้ำหนักของสิ่งที่ถูกลืมไปได้แม้แต่น้อย

กับสิ่งที่เราสร้าง กับความล้มเหลวของส่วนเสี้ยวชีวิตที่ไม่เคยถูกใช้ มวลพลังมหาศาลที่แตกกระจายออกในวัยหนุ่ม กลับเห็นชัดในตกผลึกอันซับซ้อนในวัยกลางคน นั่นปะไร การหลบซ่อน และบิดเบือน การตื่นรู้ และโง่เขลา ความหวาดกลัวที่ลดน้ำหนักของความกล้า กระทั่งกลายเป็นมนุษย์ที่ล่องลอยไปกับมวลฝุ่นมหาศาล จับหนากับใบไม้ที่กำลังปลิดปลิว เกาะแน่นกับเหล็กสักชิ้น กัดกร่อนด้วยสนิมของวันและคืน

ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และมันได้พาผมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ความสับสนทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง คลี่คลายลง เงาสะท้อน และเส้นแสงอันยุ่งเหยิงค่อยๆ กลืนกลายอยู่ในความมืด และผมมองเห็นตัวเองนั่งอยู่ในนั้น พยายามจินตนาการถึงบางสิ่งที่ไม่เคยปรากฏ ทั้งปะติดปะต่อกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เมื่อสองสิ่งถูกนำมาอยู่ด้วยกันในความคิดคำนึง มวลความรู้สึกจึงค่อยๆ ขมวดเป็นเกลียวเชือกอันแน่นเหนียว ซึ่งมีกำลังมากพอที่จะรั้งน้ำหนักของความไร้แก่นสารที่แบกมันมาทั้งชีวิต ผมอยากจะเหวี่ยงมันทิ้งเสียให้พ้นๆ แต่ลองนึกดูสิ ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ในความมืดที่ผมรู้สึกถึงความปลอดภัย ไม่มีสิ่งร้ายๆ ใดย่ำกรายเข้าถึง

จริงอยู่, ผมยอมจำนนต่อบางสิ่ง แต่ก็รู้ตัวดีว่า ไม่ยอมจำนนต่อความรู้สึกอันไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น แต่การต่อสู้ระหว่างผมกับมันกินเวลายาวนานเกินไป เพียงลำพังกับความรู้สึกนั้นที่ห้ำหั่นกันจนต่างก็อ่อนล้านั่นเอง ที่ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจต่อกัน นานวันต่างกลายเป็นมิตร เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม

การมองเห็นชะตากรรมที่ต่างถูกกระทำขึ้นจากอคติ การมองเห็นความไร้เหตุผลแห่งการพยายามเอาชนะนั้น ทำให้ผมยอมแพ้ต่อตัวเอง และในบางขณะผมถึงยอมก้าวออกมาจากความมืด ออกมาสำรวจขนาดของแสงสว่างที่มีอยู่ภายใน น่าตกใจไม่น้อย ที่ผมมักพบว่า มันมีขนาดหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่าแสงหิ่งห้อย ริบหรี่ และใกล้มืดดับลงทุกที

ทั้งหมดมิใช่เรื่องบังเอิญ และทั้งมิใช่ความตั้งใจ แต่มันเกิดขึ้นจากปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในระหว่างแสงริบหรี่เหล่านั้น แสงริบหรี่ดุจหิ่งห้อยที่ผิวเผินอาจดูสวยงาม หากแท้จริงแล้ว มันคือปริมาณของเส้นแสงที่ใกล้มืดดับ และการดิ้นรนเพื่อหาทางกลับคืนสู่แสงสว่างอันเจิดจ้าในประตูแห่งค่ำคืนที่ปิดตายนั่นเอง

ในบางสถานที่ หากย้อนเวลากลับคืนมาได้ ผมคงเลือกที่จะไม่ย้อนกลับไป แต่ยินดีที่จะให้มันมีอยู่ในฐานะมิตร ที่ต่างกำลังเฝ้ามองกันอยู่ห่างๆ และรอคอยว่าสักวันหนึ่ง ต่างจะมองเห็นเพียงความมืดอันไร้ที่ติ ซึ่งได้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดนั้นตลอดไป

เมื่อการเชื่อมร้อยระหว่างความจริงกับความฝันเกิดขึ้น อำนาจกลวงๆ ที่เคยหน่วงเราไว้ก็ค่อยๆ อ่อนลง ศรัทธาใดๆ ที่เคยมีต่อมันก็ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล

“คุณรู้สึกถึงอะไร เมื่อเห็นความมืดโอบล้อมเข้ามา และการวิ่งหนีของคุณพลันสิ้นสุดลง” คนถามมองจ้องตาคุณ ขณะกำลังวนนิ้วกับขอบถ้วยเซรามิกสีขาว กาแฟในถ้วยยังอวลไออุ่น กลิ่นหอมกลบความอับชื้นอันน่าอึดอัดในอากาศ

แล้วใครอีกคนหนึ่งก็ตอบทำนองว่า

“อำนาจของสิ่งที่มองไม่เห็นไงล่ะ แม้คุณตายมันก็ไม่เคยตายไปพร้อมกับคุณ สิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนถ่ายไปยังคนอีกรุ่น โอบล้อมพวกเขาไว้ในโลกใบหนึ่ง ซึ่งเราจะมองมันอย่างรู้สึกสงสัยอยู่เสมอ ไม่รู้จักคำตอบ ไม่รู้จักคำถาม สองสิ่งนี้หมุนอยู่รอบตัวเรา เปลี่ยนคำขึ้นต้น เปลี่ยนคำลงท้าย มีเนื้อในเป็นข้อความที่แปลความหมายเป็นสิ่งกลวงเปล่า บางเบาดุจขนนก และบางครั้งมันหนักเป็นหินก้อนใหญ่ที่วางอยู่บนบ่าของเรา มันชี้นำเราในบางครั้ง เราซึ่งปรารถนาจะโยนมันทิ้งในวันหนึ่ง เพียงแต่เราไม่เคยรู้ว่าสถานที่ใดเหมาะสำหรับมัน จึงต้องแบกมันไปเรื่อยๆ โดยมีมือของใครสักคนดันมันอยู่ข้างหลัง เราไม่อาจขัดขืน เพราะถูกทำให้เชื่อสนิทใจว่า น้ำหนักเหล่านั้นถูกบันดาลขึ้นจากเหล่าเทวดาผู้ปกปักษ์รักษาโลกใบนี้”

“คุณล่ะ” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามคุณ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบที่เหลืออยู่ก้นถ้วยอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆ วางมันลงบนโต๊ะ ไม่มีแม้เสียงกระทบใดๆ ก่อนเบนสายตามองไปนอกร้าน จ้องมองดูนกพิราบฝูงหนึ่งบินลงมาเดินพล่านอยู่บนถนนอย่างครุ่นคิด

ผมไม่ตอบอะไร ปล่อยให้ความเงียบกวาดต้อนถ้อยเหล่าคำหนักอึ้งมารวมอยู่ในความคิดที่กำลังสุมกองขึ้นเท่าขา

“พรุ่งนี้ผมจะไปทะเล”

ผมหลุดปากพูดลอยๆ ออกไป

1

การมองหาจุดจบของความสัมพันธ์เป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับผม ผมรู้ความจริงข้อนี้หลังจากเดินทางไปตามหาร่องรอยที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น ความสัมพันธ์ลับๆ ที่ผมมีกับผู้หญิงบางคน สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ผมเก็บซ่อนความจริงบางอย่างไว้ ความสุขและการโหยหาเกิดขึ้นอย่างวิสาสะหลังการโดดเดี่ยวตัวเองอยู่ในห้องหนังสือที่ทุกวันนี้แทบไม่ได้เขียนหรืออ่านอะไรเป็นเรื่องเป็นราวอีกแล้ว

ผมร้อยเรียงทุกสิ่งขึ้นจากส่วนเสี้ยวของความจริง ตัวละครที่มักไม่ค่อยมีชื่อ และ ‘ผม’ ซึ่งคือตัวละครที่เดินทางไปแทบทุกหนแห่งในจังหวัดสำคัญทางภาคใต้ โดยมีสงขลาเป็นสถานที่พักพิง และมีฉากของทะเลสาบอันสวยงามอยู่เบื้องหน้า

ผมมีฉากทุ่งนาที่พัทลุงอยู่ในหัวเต็มไปหมด ฉากและเรื่องราวที่จำได้แม่นคือเมื่อครั้งที่ผมนัดพบกับ ‘หวาน’ เด็กสาวที่มีพื้นเพอยู่แถบทะเลน้อยพัทลุง หวานเรียนจบปริญญาตรีที่ศิลปากรก่อนตัดสินใจหางานทำในกรุงเทพฯ เริ่มงานที่แรกเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมเล็กๆ ย่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ช่วงเวลานั้นลูกสาวผมน่าจะอายุสามขวบ อยู่ในวัยที่ซุกซน เริ่มพูดเก่ง และติดพ่อ

นั่นแหละ เรื่องราวมันเริ่มต้นจากสิ่งที่ผมไม่ได้เขียนลงไป

หวานเรียนจบคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ และเธอมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับย่าของเธอ มันเป็นความประทับใจและความทรงจำที่ไม่มีวันลืม ย่าที่เวลานี้จากเธอไปไกลแสนไกล และทิ้งบ้านหลังหนึ่งไว้ในความทรงจำของเธอ บ้านที่เป็นความอบอุ่นเดียวที่เธอไม่เคยลืม

“เดือนสิบทุกปีหวานจะกลับมาทำบุญให้กับดวงวิญญาณของย่า เพราะหวานเชื่อว่าย่ายังคงอยู่ใกล้ๆ หวานนี่แหละ”

“ความรักความผูกพันทำให้คนเราไม่รู้สึกถึงความพลัดพราก พี่เชื่ออย่างนั้น”

หวานยิ้ม ก่อนหันไปจับสายตากับเรือลำหนึ่งที่แล่นตรงไปยังเวิ้งน้ำกว้างกลางทะเลน้อย ซึ่งนกนานาชนิดกำลังโผบินขึ้นจากดงหญ้า

“หวานไม่เคยคิดเลยว่า จบสายศิลปะมาแล้ว ต้องมาทำงานโรงแรม ชีวิตคนเรานี่มันดูตลกดีนะคะ”

“แล้ววาดรูปครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ผมถาม

“ตอนว่างงาน ก็นานมาแล้วนะ หวานวาดรูปปลาว่ายทวนน้ำ มันไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็หวานชอบมัน”

“ลูกสาวคุณวาดรูปเก่งมั้ย”

“เก่งสิ แต่พอโตขึ้นหน่อยเธอก็สนใจอย่างอื่นมากกว่า”

“ถ้าอยู่ใกล้กัน หวานจะสอนให้น้องวาดรูป”

ผมอดยิ้มไม่ได้สักครั้งเมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้พบกับใครคนหนึ่ง และเรามีความทรงจำที่ดี ไม่มีเรื่องราวความสัมพันธ์อื่นมากกว่าพี่กับน้อง แต่สุดท้ายกาลเวลามันก็หมุนเหวี่ยงเราหลุดไปจากวงโคจรของกันและกัน

ยาวนานไปจนกระทั่งวันหนึ่ง

ผมได้รับพัสดุชิ้นใหญ่ เป็นภาพวาดสีน้ำมัน ที่บอกเล่าเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 2564 พร้อมข้อความสั้นๆ

ผู้หญิงในภาพนี้เป็นหวานเองค่ะ คุณคงแปลกใจ ทำไมหวานไปม็อบ และอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ หวานไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น และชีวิตหวานก็เพิ่งจะเริ่มต้นเหมือนกัน

 

8

เหมือนเมฆจะเคลื่อนไป ล่องลอยอยู่ในฝัน

เรือแล่นห่างออกไปจากฝั่งไกลลิบลับ ภาพของหาดทรายนวลเนียนกลายเป็นสีของเมฆ เมฆเท่านั้นที่ติดตามเรามา หรือเราตามมันไป นอกนั้นก็สีครามที่กำลังครอบครองอาณาจักรการมองเห็น และเขียวมรกตแห่งมหาสมุทร

บางสิ่งมันเริ่มต้นมาก่อนที่ผมจะล่วงรู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ และมันมิใช่จุดจบที่จะคลี่คลายด้วยบทสรุปที่ชัดเจน เรื่องมันเริ่มจากตัวตนอันสับสน ซับซ้อน ความเปราะบางทางจิตใจ และการเดินทางอันไร้จุดหมายบนขบวนรถไฟสายหนึ่ง

ผมซึ่งกลายเป็นพ่อที่มิอาจโอบกอดลูก เป็นสามีซึ่งเหมือนเรือลำหนึ่งที่แล่นไกลออกไปจากบ้านของตัวเอง แล้วความฝันก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อความไร้แก่นสารของมันขึ้นอย่างไม่มีลำดับ เป็นลำดับการจัดเรียงซึ่งถูกวางด้วยชั้นของอดีตซึ่งถูกเก็บซ่อนมาเนิ่นนาน

บางเรื่องเล่ามันลื่นไหลไปด้วยถ้อยคำ และรูปประโยคต่อเนื่อง ตัวละครบางตัวอาจถูกตัดทิ้งในกลางเรื่อง ทิ้งไว้เพียงร่องรอยบางอย่าง เต็มไปด้วยเงื่อนงำ

มันง่ายที่จะลำดับเพื่อให้มีความชัดเจน แต่ในเมื่อชีวิตมันถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองด้วยเงื่อนไขที่มิอาจกำหนด บางเรื่องเล่ามันเลยดำเนินไปราวขึ้นกับโชคชะตา

เพราะงั้นเพื่อให้ดูไม่เกินจริง ผมจึงเลือกที่จะซ้อนโครงเรื่องรองด้วยเรื่องราวอันแสนธรรมดาของตัวเองไว้ในบทแรกๆ จัดเรียงสลับบางเรื่องเล่า ด้วยเนื้อหาเชิงการเมือง และแอบใส่ตัวละครในชีวิตจริงที่เคยพบผ่านมาไว้ในนั้น

และเรื่องราวทั้งหมดนั้นเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2557

กระทั่งมันแตกกระจายเป็นแสงวูบวาบที่ส่งผมย้อนกลับไปปี 2518 และผมค้นพบว่า การจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ที่รังแต่จะพาผมหลงทางไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด

 

0

ผมกำลังยืนอยู่ริมทะเลที่ไหนสักแห่ง มองตามรอยเท้าของภรรยาที่เดินเลียบริมหาดไปเพียงลำพัง

นาทีต่อมา ผมหันไปทางลูกสาวที่กำลังเล่นสนุกอยู่ใกล้ๆ มองดูเธอค่อยๆ ตะล่อมมวลเม็ดทรายด้วยมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นภูเขาลูกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนมองสำรวจผลงานตัวเองอย่างพึงใจ จากนั้นก็วิ่งออกไปเก็บเศษไม้มาปักล้อมไว้รอบๆ

“หนูจะทำเป็นกำแพงค่ะ”

ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอผสานเป็นหนึ่งกับเสียงคลื่นที่โถมซัดเข้าฝั่ง

เป็นหนึ่งเดียวที่มิอาจแยกออกจากกัน

เธอถือเศษไม้อีกอันไว้ในมือ พลางเดินจ้ำมาทางผม “พ่อจำวันเกิดหนูได้ไหมคะ”

“ตอนนี้ยังจำได้ แก่ไปกว่านี้ก็ไม่แน่นะ” ผมตอบ

“งั้น พ่อเขียนลงไปตรงนั้นนะ เอาตัวโตๆ เลย” เธอชี้ไม้ชี้มือไปข้างภูเขาลูกย่อมๆ ของเธอ

“ทำไมถึงอยากให้พ่อตัวเลขวันเกิดไว้ตรงนั้นล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ หรือพ่ออยากเขียนอย่างอื่นแทนก็ได้นะคะ”

ผมรับเศษไม้จากมือของลูก เดินย่ำผืนทราย พลางหันมองรอยเท้าที่เหมือนมันจมลึกไปด้วยน้ำหนักของชีวิตที่เหลืออยู่ของผม

2553 นั่นคือตัวเลขตัวโตๆ ที่ผมขีดเขียนลงบนผืนทราย ถัดลงมาหนึ่งคืบผมบรรจงเขียนตัวเลขที่เล็กกว่า อ่านว่า ‘สองพันห้าร้อยสิบแปด’ •