ประชันรถหรู 2 แบบ-2 สไตล์รับปี 2023 ‘ดีเฟนเดอร์ 130’ – ‘คราวน์ ครอสโอเวอร์’

สันติ จิรพรพนิต

มาประเดิมแนะนำรถใหม่กันหลังจากฉบับก่อนหน้านี้ รวบรวมความเคลื่อนไหวในแวดวงยานยนต์ปี 2565

จัดไปเนียนๆ 2 รุ่นซ้อน แม้จะเปิดตัวในช่วงปลายปีที่แล้ว แต่ถ้าว่าถึงการขายจริงๆ จังๆ คงต้องรอออเดอร์ในปีนี้แน่นอน

รุ่นแรกกับสุดยอดรถเอสยูวีในตำนาน “แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ 130” ใหม่ (NEW LAND ROVER DEFENDER 130 HSE 3.0 DIESEL)

มาเพื่อต่อยอดความสำเร็จของดีเฟนเดอร์ 90 และ 110 ที่บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย นำมายั่วน้ำลายสายลุยตั้งแต่ปี 2563

ดีเฟนเดอร์ 130 ยังคงเอกลักษณ์ภายนอกของแลนด์โรเวอร์มาตลอด 75 ปี ตัวถังขยายใหญ่ขึ้น 340 ม.ม. ดูโอ่โถงและเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร

ส่วนท้ายรถมีรูปทรงคล้ายหางเรือ มีส่วนมุมจากอยู่ที่ 28.5 องศาในระดับความสูงแบบออฟโรด

สาระสำคัญเพื่อคงความสามารถในการขับขี่บนเส้นทางที่ขรุขระและการหักเลี้ยว โดยไม่มีปัญหา

แต่จุดเด่นไม่พ้นด้านในที่จัดมาแบบเต็มๆ เพราะเป็นรถตัวถังยาวอัดมาแน่นๆ รวม 8 ที่นั่งแบบ 2+3+3

ติดตั้งซันรูฟแบบพาโนรามิก และมีซันรูฟอันที่สองติดตั้งเหนือเบาะนั่งแถวที่ 3 ทำให้ภายในห้องโดยสารสว่างและโปร่งสบายในทุกที่นั่ง

หน้าจอสัมผัส Pivi Pro ขนาด 11.4 นิ้ว ควบคุมฟังก์ชั่นยานยนต์หลักได้ดีขึ้นผ่านจอแสดงผลที่คมชัดและใช้งานง่าย

อินเทอร์เฟซกระจกโค้งจะให้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่รวดเร็ว ล้ำสมัย และตอบสนองทันทีที่สตาร์ตรถ ด้วยโครงสร้างเมนูที่เรียบง่ายและเทคโนโลยีอัพเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติแบบ Over The Air

หน้าต่างบานใหญ่ให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมในที่นั่งทั้ง 3 แถว เพิ่มความสบายด้วยช่องระบายอากาศสำหรับแต่ละแถว

ผู้โดยสารในแถวที่ 2 และ 3 เบาะนั่งยกสูงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัย

ควบคุมการปรับอากาศผ่านระบบควบคุมอุณหภูมิ 4 โซน (Four Zone Climate Control)

ระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร (Cabin Air Purification Plus) เปิดตัวครั้งแรกในดีเฟนเดอร์ 130 รุ่นใหม่ ผสานรวมเทคโนโลยี nanoeTMX สำหรับการลดสารก่อภูมิแพ้ และการกำจัดเชื้อโรค เพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และไวรัส

มีระบบจัดการ CO2 และการกรองอากาศ PM 2.5 ในห้องโดยสารยังช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในห้องโดยสารให้ดีขึ้น โดยตรวจสอบอากาศภายในและภายนอก และปรับให้เหมาะสม

ช่องเสียบชาร์จ USB-C เพื่อชาร์จอุปกรณ์ขณะเดินทางช่วยให้ผู้โดยสารแถวที่ 3

เบาะนั่งพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ได้ สามารถเลือกปรับแต่งการจัดวางภายในห้องโดยสารสัดส่วน 40:20:40

พื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวางและใช้งานได้สะดวก สามารถรับน้ำหนักสูงสุด 3,893 ลิตร แม้จะกางเบาะหลังสุดก็ตาม

ขุมพลังดีเซล 3.0 ลิตร 6 สูบ ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6.7 วินาที

เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ระบบส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันชาญฉลาด (iAWD) จัดการระบบส่งกำลังและระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังอย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบช่วงล่างถุงลมแบบอิเล็กทรอนิกส์ Adaptive Dynamics สามารถยกตัวรถเพิ่มเติม 71.5 ม.ม. ที่ด้านหน้า และ 73.5 ม.ม. ที่ด้านหลัง ในระดับความสูงแบบออฟโรดเพื่อให้ผ่านพ้นสิ่งกีดขวางและช่วยในการลุยทาง

ระบบ Terrain Response ขั้นสูงปรับแต่งให้เหมาะกับทุกสภาพภูมิประเทศผ่านหน้าจอ Pivi Pro สามารถขับขี่บนเส้นทางขรุขระได้อย่างสบายๆ และมอบประสิทธิภาพที่คล่องตัว

สามารถลุยน้ำได้สูงสุด 900 ม.ม.

สถาปัตยกรรม D7x แบบไร้โครงที่ใช้อะลูมิเนียม ความแกร่งต้านแรงบิดที่ 25kNm/องศา

มีความแข็งแกร่งมากกว่าดีไซน์แบบบอดี้ออนเฟรมดั้งเดิมถึงสามเท่า

แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ 130 ใหม่ ราคา 8,999,000 บาท

พร้อม LAND ROVER CARE นาน 5 ปี

ส่วนรถอีกรุ่นเป็นเก๋งสุดหรู “โตโยต้า คราวน์ ครอสโอเวอร์” (All-new Crown 2023 Crossover) มาในสไตล์ใหม่แบบครอสโอเวอร์ ภาพลักษณ์เป็นรถเก๋งยกสูง แต่ลุยได้สไตล์เอสยูวี

นำเข้าโดย “ETON Group” เกรย์มาร์เก็ตชื่อดัง ที่เชี่ยวชาญเรื่องนําเข้าสําหรับครอบครัว และผู้บริหาร พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจร

คราวน์ถือเป็นรถสุดหรูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้เมืองไทยอาจห่างหายไปนาน แต่ในสมัยก่อนถือว่าเป็นรถญี่ปุ่นที่เทียบชั้นรถยุโรปได้สบายๆ

ล่าสุดเดินทางมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 16 พลิกโฉมครั้งใหญ่ให้ดูทันสมัย และแปลกตาจากรุ่นก่อนๆ

สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA-K (GA-K) ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งภายใน และภายนอก

กระจังหน้าแบบกริตเตอร์แบบใหม่ สี Black Gloss ให้ดูความเป็นสปอร์ต ไฟหน้าเรียวยาวแนวนอน แบบ Bi LED ปรับระดับสูงต่ำได้ พร้อมระบบ Automatic High Beam

ไฟท้าย Combination แบบ Full LED ลากยาวจากซ้ายไปขวา

ล้อแม็กขนาด 19 นิ้ว

ฝาท้ายไฟฟ้า แบบ Kick Censor

ภายในตกแต่งด้วย WARM STEEL คอนโซลด้านหน้ามีเส้นสายเชื่อมต่อกันทั้งสองฝั่ง

พวงมาลัยปรับไฟฟ้า ชุดมาตรวัดแบบแบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อม Head up display

หน้าจอกลางแบบทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว วางแบบแนวนอน รองรับ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย

ลำโพง 6 ตำแหน่ง

เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ตำแหน่ง กระจกมองหลังแบบดิจิทัล

เครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 186 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 221 นิวตัน-เมตร

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์ไฟฟ้า 120 แรงม้า ที่ด้านหน้า และ 54 แรงม้า ที่ด้านหลัง ได้พละกำลังสูงสุดรวม 234 แรงม้า

จับคู่เกียร์อัตโนมัติ e-CVT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four

แบตเตอรี่ Nickel-Metal Hydride

3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,840 x 4,930 x 1,540 ม.ม. ความยาวฐานล้อจ 2,850 ม.ม. ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 145 ม.ม.

ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 อาทิ ระบบ Automatic High Beam ลดความสว่างของไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อพบรถสวน

Dynamic Radar Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติโดยใช้เรดาห์ตรวจจับรถคันหน้า

ระบบ Pre-Collision System with Pedestrian Detection เตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับ

ระบบ Lane Departure Alert with Steering Assist ช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมฟังก์ชั่นหน่วงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ

ระบบ Rear Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลัง ฯลฯ

“โตโยต้า คราวน์ ครอสโอเวอร์” ราคา 3,690,000 บาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]