2023 อาจเป็นปีกลียุคสำหรับ “วลาดิมีร์ ปูติน”

(Photo by Mikhail KLIMENTYEV / SPUTNIK / AFP)

การยิงถล่มเมื่อวันส่งท้ายปีเก่าต่อที่ตั้งทางทหารของกองทัพรัสเซียในแคว้นโดเนตสค์ หนึ่งในสี่พื้นที่ยึดครองของรัสเซียในยูเครนบริเวณพรมแดนด้านตะวันตกที่รัฐบาลประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศผนวกเป็นดินแดนของรัสเซียแต่เพียงฝ่ายเดียวไปก่อนหน้านี้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก

ตามรายงานข่าวที่อ้างอิงจากข้อมูลของกองทัพของ “ยูเครนสกา ปราฟดา” หนังสือพิมพ์ในยูเครน การโจมตีดังกล่าวเป็นเหตุให้ทหารรัสเซียเสียชีวิตมากถึง 400 นาย ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 300 นาย สรรพาวุธจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย

ทางการรัสเซียยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางทาสส์ สำนักข่าวทางการของรัสเซียว่า เหตุเกิดขึ้นที่เมืองมาคีฟกา ที่ตั้งทางทหาร “ชั่วคราว” ของรัสเซีย อาวุธที่ยูเครนใช้ในการโจมตีดังกล่าวคือ จรวดที่ยิงจากระบบเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง เคลื่อนที่ได้ แบบเอ็ม 142 ไฮมาร์ส ผลิตในสหรัฐอเมริกา

แต่ทางการรัสเซียอ้างว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง 63 นาย ต่างกันอยู่มากจากข้อมูลของกองทัพยูเครน

กระนั้น การสูญเสียครั้งนี้ก็ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่รัสเซียส่งกองทัพเข้ายึดครองยูเครนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2022 และกลายเป็นประเด็นโจมตีผู้บัญชาการกองทัพและนายทหารที่รับผิดชอบกันยกใหญ่ในสื่อโซเชียลของรัสเซีย ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขวาจัดนิยมปูติน

ประเด็นที่กองทัพถูกโจมตีหนักหน่วงรุนแรงที่สุดก็คือ ความบกพร่อง ประมาทเลินเล่อ และข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีผู้บัญชาการกองทัพ “ปัญญาอ่อน” คนไหนใช้ที่ตั้งเป็นค่ายพักทหารและคลังแสงอยู่ร่วมกันในที่จุดเดียวกัน จนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ดังกล่าว

ฟังดูราวกับว่า การสูญเสียที่ว่านี้อาจไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค่ทหาร 63 นายเท่านั้นกระมัง

 

ข้อที่น่าสังเกตอีกประการก็คือ ระบบจรวดหลายลำกล้องแบบไฮมาร์ส นั้นใช้พลประจำการทั้งขับรถบรรทุกและยิงจรวดเพียง 3 นายเท่านั้น และจรวดที่ใช้โจมตีก็มีจำนวนเพียง 6 ลูก แต่สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับฝ่ายรัสเซีย

นั่นอาจตีความได้ว่า หากไม่ใช่ระบบมีประสิทธิภาพสูงมาก ก็เป็นเพราะระบบระเบียบในกองทัพรัสเซียห่วยมากๆ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

กรณีนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่า โดเนตสค์ซึ่งรัสเซียผนวกเป็นดินแดนตนเองโดยมิชอบ ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของรัสเซียอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสภาพเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในแคร์ซอน, ลูฮานสค์ และซาปอริเซีย อีก 3 แคว้นที่เป็นดินแดนผนวกของรัสเซียอย่างเร่งรีบและรวบรัด ก่อนที่จะสามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า ไม่ต่างอะไรจากการ “ทำร้ายตัวเอง” ของฝ่ายรัสเซีย

เอก้าเตรินา ชุลมานน์ นักรัฐศาสตร์ชาวรัสเซียที่ทำหน้าที่เป็นนักวิชาการสมทบอยู่กับแชตแฮมเฮาส์ องค์กรวิชาการอิสระในลอนดอน ชี้ว่า การผนวกดินแดนทั้ง 4 แคว้นของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างรวบรัด รีบเร่ง ทำให้รัสเซียกำลังก้าวผ่านเข้าไปสู่ความเป็น “เฟลด์ สเตต” เพราะทางการรัสเซียไม่สามารถแม้แต่จะควบคุม “การดำเนินการพื้นฐานที่จำเป็น” ในแคว้นชายแดนเหล่านั้นได้เลย เพราะไม่มีสรรพกำลังอีกแล้ว

การยึดครองดังกล่าวไม่สามารถป้องปรามกองทัพยูเครนได้ แต่ในเวลาเดียวกันกลับอาจกลายเป็นแบบอย่างให้บรรดาภูมิภาคอื่นๆ ที่ไม่สงบของรัสเซีย โดยเฉพาะรัฐในแถบนอร์ธ คอเคซัสให้ตีตัวออกห่างในทันทีที่พบว่าอำนาจจากส่วนกลางลดน้อยถอยลง

คุณสมบัติอีกประการของ “รัฐที่กำลังล้มเหลว” ก็คือการไม่สามารถ “ผูกขาด” อำนาจเหนือกองทัพได้อีกต่อไป และแม้ว่า กองทัพส่วนตัว และกองกำลังนักรบรับจ้าง จะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัสเซีย แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า กองกำลังทั้งสองประเภทกำลัง “เบ่งบาน” อยู่ในรัสเซียในเวลานี้

ตั้งแต่ “วากเนอร์ กรุ๊ป” กองทัพรับจ้างของเยฟเกนี พริโกซิน อดีตอาชญากรที่มีฉายาว่า “เชฟ ของปูติน” ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับประธานาธิบดีรัสเซีย พริโกซินประกาศอย่างเปิดเผยว่ากองทัพรับจ้างของตนซึ่งประกอบขึ้นจากบรรดา “ขี้คุก” ที่เข้าร่วมกับวากเนอร์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอภัยโทษ เหล่านี้ไม่มีความปรารถนาที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพหรือแปรสภาพเป็นกองกำลังที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใดทั้งสิ้น

หรือกองกำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัมซาน คาดิรอฟ อดีตขุนศึกชาวเชเชน ที่ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของแคว้นเชชเนีย ซึ่งเป็นกองทัพอิสระที่แม้แต่หน่วยงานความมั่นคงทั้งหลายของรัสเซียยังยำเกรง

 

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์เห็นกันว่า รัฐบาลภายใต้การนำของปูตินล้มเหลวที่สุดก็คือ การทำหน้าที่พื้นฐานที่สุดของรัฐ นั่นคือการให้ความคุ้มครอง อำนวยความปลอดภัยต่อประชาชนของตนเอง สิ่งที่รัสเซียทำอยู่ในเวลานี้เป็นตรงกันข้าม นั่นคือ เป็นภัยคุกคามต่อประชาชนของตนเท่านั้นเอง

ความผิดพลาดที่สุดของปูตินในการทำศึกยูเครนก็คือ การออกคำสั่งเกณฑ์ประชาชนราว 300,000 คนให้เป็นกำลังสำรองส่งไปช่วยรบในยูเครนทั้งๆ ที่ไม่มีการฝึกและไม่มีอาวุธดีพอ

ผลลัพธ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านคัดค้าน อย่างเช่น การวางเพลิงศูนย์เกณฑ์ทหาร หรือการที่คนหนุ่มจำนวนหนึ่งไม่น้อยกว่า 300,000 คนซึ่งมีการศึกษาและมีสรรพกำลังพากันหลบหนีออกนอกประเทศ (เพิ่มเติมจากที่เคยมีอีกอย่างน้อย 300,000 คนหนีออกไปในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกของสงคราม) หลงเหลือแต่หนุ่มยากจนจากชนบทเท่านั้นที่ถูก “กวาด” เข้ากองทัพ

การเกณฑ์ดังกล่าวทำให้ชาวรัสเซีย “ช็อก” ยิ่งกว่าการทำศึกยูเครนแต่แรกด้วยซ้ำไป และเป็นการทำลายความตกลง “ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร” ระหว่างกันที่ว่า ชนชั้นสูงในรัสเซียจะไม่ประท้วงต่อต้านสงครามยูเครน ตราบเท่าที่ทางการยังไม่แตะต้องมาที่พวกเขาไปโดยปริยาย

จนถึงขณะนี้ ปูตินยังไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งไม่สามารถเอาชนะศึกยูเครนได้ แล้วก็แพ้ก็ไม่ได้ ทำได้แต่เพียงลากยาวให้ยืดเยื้อต่อไป จนกว่าจะสำเร็จ หรือไม่ก็ความตายของทหารในยูเครนควบคู่ไปกับความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและการต่อต้านของกลุ่มชนชั้นสูงจะนำเขาไปสู่จุดสิ้นสุด

ระหว่างนั้นไม่มีใครการันตีได้ว่า รัสเซียจะไม่เต็มไปด้วยความไม่สงบ โกลาหล อลหม่านถึงระดับกลียุค!