ส่งกำลังใจปีใหม่ 2566

วัชระ แวววุฒินันท์

ข้ามเส้นเวลาที่แบ่งปีเก่ากับปีใหม่มาได้ 5-6 วันแล้ว หวังว่าบรรยากาศช่วงเทศกาลแห่งความสุขเช่นนี้ จะทำให้ทุกท่านอิ่มเอม มีพลังที่จะเดินหน้าต่อไปในปี 2566 กันนะครับ

เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนักเบาเอาการแค่ไหน แต่เราก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไป

เครื่องเคียงข้างจอตอนแรกของปี 2566 จึงขอส่งเรื่องราวเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน เผื่อว่าจะได้มีแรงลุกขึ้นเดินไปต่อในอีก 300 กว่าวัน

และเรื่องราวที่ว่านี้มาจากประสบการณ์ชีวิตของคนที่มีชื่อเสียงแวดวงต่างๆ

 

คนแรกคือนักเขียนดังที่ชื่อ “เจ. เค. โรว์ลิ่ง” เจ้าของนิยายพ่อมด Harry Potter และ Fantastic Beasts and Where to Find Them ที่ถูกตีพิมพ์ในหลายภาษา รวมทั้งการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์

นั่นทำให้ตัวเธอเองเป็นนักเขียนคนแรกที่ทำรายได้แตะหลักพันล้านเหรียญสหรัฐ และพลิกชีวิตจากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวชักหน้าไม่ถึงหลังเป็นมหาเศรษฐีชั่วข้ามคืน

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดมาง่ายๆ หากผ่านความตั้งใจมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยมของเธอ

เธอรักที่จะเป็น “นักเขียน” และสิ่งที่เธอทำได้คือ “การเขียน” แต่ในบ้านเล็กๆ ของเธอนั้นหนาวเหน็บเกินกว่าจะมีสมาธิเขียนหนังสือได้ จึงต้องเข้าไปพึ่งฮีตเตอร์และความสะดวกสบายตามคาเฟ่ต่างๆ ในเมืองเอดินเบอระของสกอตแลนด์เป็นที่แต่งนิยาย

และมีร้านหนึ่งที่เธอนั่งเป็นประจำ คือร้าน The Elephant House บนถนน George IV Bridge ที่ตอนนี้พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย และมีกรอบรูปของโรว์ลิ่งนั่งเขียนงานอยู่ในร้าน

จนร้านแห่งนี้ถูกยกให้เป็น Birthplace of Harry Potter ส่วนหลังของร้านจะเห็นวิวของปราสาทเอดินเบอระที่เป็นแรงบันดาลใจของปราสาทในนิยายที่เธอเขียนนั่นเอง

ที่ร้านนี้ เจ.เค. โรว์ลิ่ง จะสั่งชาอุ่นๆ และนั่งเขียนหนังสือทั้งวัน โชคดีที่เจ้าของร้านอนุญาตให้เธอนั่งทำงานได้ หากเป็นร้านกาแฟของบ้านเรา คุณป้าโรว์ลิ่งอาจจะถูกเชิญออก หรือไม่ให้เข้าแล้วก็ได้ เมื่อได้ที่แล้วเธอก็ลงมือ เขียน เขียน เขียน และเขียน

แต่ความสำเร็จของเธอไม่ได้มาง่าย เธอเริ่มต้นโดยการถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ต่างๆ กว่า 12 ครั้ง ก่อนจะได้รับโอกาสจากสำนักพิมพ์บลูมส์บรี นอกจากนี้ เธอยังเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อยู่ได้ด้วยเงินประกันสังคมและต้องทนทุกข์จากโรคซึมเศร้า แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ล้มเลิกในสิ่งที่รักคือ การเขียนหนังสือ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ

หนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำยอดขายไปมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก และมีการแปลไปเป็นภาษาต่างๆ รวม 80 ภาษา ในเวลาเพียง 6 ปีหลังจากเล่มแรกออกวางจำหน่าย

ทำในสิ่งที่เราและเชื่อมั่นกันนะครับ และลงมือทำซ้ำๆ แม้จะยังไม่เห็นชัยชนะข้างหน้าก็ตาม

 

ผ่านเทศกาลฟุตบอลโลก 2022 มาสักพักแล้ว แต่เชื่อว่าผู้คนอาจจะยังคงพูดถึงนักเตะชื่อดัง “ลิโอเนล เมสซี่” แห่งทีมชาติอาร์เจนตินาที่คว้าแชมป์โลกไปครอง และเมสซี่ก็บรรลุความหวังในการเป็นนักเตะอาร์เจนตินาที่คว้าแชมป์โลกมาไว้ได้เสียที แม้ตอนนี้จะอายุ 35 ปีแล้วก็ตาม

แต่มีทีมหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากในฐานะ “ม้ามืด” นั่นคือ ทีมโมร็อกโก ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ว่าเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรกที่ทะลุเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกได้สำเร็จ และหนึ่งนักเตะในทีมก็คือ “ฮาคิม ซีเยค” แข้งสำคัญที่ทำให้โมร็อกโกมาได้ไกลขนาดนี้

แม้ซีเยคจะเป็นคนโมร็อกโก แต่ก็เกิดที่ประเทศฮอลแลนด์ เขาเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว มีพี่อีก 7 คน พ่อของเขาเสียชีวิตลงเมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ ทำให้แม่ต้องรับภาระหนักในการเลี้ยงดูลูก 8 คนเพียงลำพัง

ซีเยคเคว้งคว้างมากจากการสูญเสียพ่อ และในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เขาหันไปกินเหล้า สูบบุหรี่ และพี้ยา โชคดีที่เขาชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลอย่างมาก ด้วยความสามารถที่มีทำให้ฝีเท้าของเขาไปเข้าตาทีมฟุตบอลทีมหนึ่งของลีกฮอลแลนด์เข้า และได้คัดตัวเป็นหนึ่งในทีมเยาวชนของสโมสร

นั่นทำให้เขาพอมีรายได้มาช่วยเหลือครอบครัวได้บ้าง แม้มันจะเป็นเงินจำนวนไม่มาก

ที่นั่นเขาได้พบกับ “อาซิซ ดอฟีการ์” นักเตะชาวโมร็อกโก ที่เป็นเหมือนพ่อคนที่สองของเขา ที่ไม่ได้สอนเฉพาะเรื่องฟุตบอล แต่ได้ดึงเขาออกมาจากอบายมุขทั้งหลาย หันหน้ามามุ่งมั่นในฟุตบอล จนเขาสามารถสร้างชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นนักเตะที่โด่งดังที่หลายทีมแย่งตัวกัน

แม้จะเกิดในฮอลแลนด์ แต่เขาเลือกที่จะเล่นให้กับทีมชาติโมร็อกโก เพราะเขาผูกพันมากกว่า และรู้สึกเป็นเกียรติทุกครั้งที่ได้เล่นในนามทีมชาติโมร็อกโก

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เขาติดทีมชาติตั้งแต่ปี 2015 เขาไม่เคยใช้เงินที่ได้จากการเป็นทีมชาติเพื่อตัวเองเลย หากเขาได้ก็จะบริจาคเงินทั้งหมดให้กับสตาฟฟ์ของทีม และครอบครัวที่ยากจนในโมร็อกโก

รวมทั้งกับฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ ที่เขาได้โบนัสทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 325,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านบาท ซีเยคก็ได้บริจาคมันให้กับคนยากจนในโมร็อกโก

ไม่นับว่าก่อนหน้านี้ ที่เขายินดีใช้ชื่อเสียงของเขาเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยการเป็นทูตให้กับองค์กรการกุศลของโมร็อกโกที่ช่วยเหลือคนหนุ่มสาวที่มีปัญหา

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบแทนชะตาชีวิตที่ผ่านมาของเขา ที่เขาเคยประสบกับปัญหาจนเกือบเสียผู้เสียคน เพราะความยากจนและไร้ทางออกมาแล้ว ข้อสำคัญตอบแทนให้กับประเทศโมร็อกโกที่เขาผูกพันจากเชื้อชาติในสายเลือดนั่นเอง

และการจบอันดับที่ 4 ของฟุตบอลโลกหนนี้ ก็ได้สร้างความสุขความภูมิใจให้กับประชาชนชาวโมร็อกโกที่เขารักนักแล้ว

 

ปิดท้ายด้วยผู้กำกับฯ ระดับโลกที่ได้ฉายาว่า “พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด” สตีเว่น สปีลเบิร์ก จากผลงานอันน่าตื่นตาตื่นใจของเขาตลอด 54 ปี ในการเปลี่ยนจินตนาการมาเป็นความประทับใจบนแผ่นฟิล์ม เขาได้ทำหนังมาแล้วหลากหลายสไตล์อย่างไม่น่าเชื่อ

ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ดีเอาเสียเลย เขาเกิดในครอบครัวยิวที่เคร่งครัด ทำให้สปีลเบิร์กถูกกลั่นแกล้งและรังแกถึงขั้นเลือดตกยางออกจากเด็กแถวบ้านอยู่หลายครั้ง ชีวิตวัยเด็กของเขาจึงโดดเดี่ยวอย่างมาก

แต่สิ่งที่ฉุดเด็กชายคนนี้ขึ้นมาจากความระทมทุกข์ คือ “จินตนาการและความฝัน” เมื่อคืนหนึ่งเขาได้ไปนอนบนผืนหญ้ากับพ่อเพื่อดูอะไรบางอย่างบนท้องฟ้าที่พ่อเขาไม่ได้บอกมาก่อน มันคือ “ดาวหาง” ที่พาดผ่านท้องฟ้าอย่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กชายคนหนึ่ง

และนั่นทำให้เขาเปิดจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน สิ่งที่มาเติมเต็มความฝันของเขาได้คือการทำหนังด้วยกล้อง 8 ม.ม. เพราะจะเอาทางการเรียนก็ไม่เก่ง เล่นกีฬาก็ไม่ดี เพื่อนก็ไม่คบ การทำหนังจึงเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของเขา

จากหนังสั้นเรื่องแรกในวัยเด็ก เขาก็จมดิ่งและมุ่งมั่นกับการสร้างภาพยนตร์ที่มีสเกลที่โตขึ้น แม้จะต้องต่อสู้กับการยอมรับจากทีมงานหรือนักแสดงที่อายุมากกว่าเขาที่ยังเป็นมือใหม่มากในเวลานั้น แต่เขาก็ใช้งานเป็นเครื่องพิสูจน์และได้รับการยอมรับพร้อมโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกวันนี้คงไม่มีคนดูถูกและไม่รู้จักสปีลเบิร์กอีกแล้ว และสิ่งที่สะท้อนความเป็นพ่อมดของเขาคือ งานอันหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นหนังครอบครัวอย่าง E.T., หนังผจญภัยอย่าง Indiana Jones, หนังปลุกไดโนเสาร์ให้มีชีวิตอย่าง Jurassic Park, หนังดราม่าหนักๆ อิงประวัติศาสตร์นาซี อย่าง The Schindler’s List, หนังแอ๊กชั่นที่อุดมด้วย CG. กับโลกของเกมออนไลน์ อย่าง Read Player One, หรือแม้กระทั่งหนังเพลงที่เอาผลงานอมตะมาทำใหม่อย่าง West Side Story

สิ่งที่ทำให้สปีลเบิร์กสามารถทำผลงานที่หลากหลายเช่นนี้ เพราะเขาเป็นคนที่สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แบบน้ำไม่เต็มแก้ว และมองโลกในแง่ดี

หากใครได้อ่านเบื้องหลังการทำงานของเขาในแต่ละเรื่อง จะพบว่าเขาสนุกกับการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เสมอ แม้มันจะผิดพลาดและล้มเหลว แต่นั่นคือการเรียนรู้เพื่อพัฒนางานต่อไปเรื่อยๆ โดยมีความฝันและจินตนาการเป็นจุดหมาย

มีประโยคหนึ่งที่เขาพูด เป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายอย่างยิ่ง นั่นคือ

“ฉันยินดีที่จะมีชีวิตอยู่”

 

หวังว่าปีใหม่นี้ ทุกท่านจะรู้สึกยินดีที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะความยินดีจะทำให้เรามีพลังลุกขึ้นทำอะไรก็ได้ที่เราฝัน ข้อสำคัญคือต้อง ทำ ทำ และทำมันอย่างสม่ำเสมอพร้อมเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ

ในขณะเดียวกันอย่าหลงลืมที่จะให้ความรักกับครอบครัว และรู้จักให้ผู้อื่นหากเรามีมากเพียงพอ เพราะยิ่งให้เราก็ยิ่งได้ การให้คือความสุขที่อิ่มเอมใจ

สวัสดีปีใหม่ 2566 ครับ •

 

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์