ภาพยนตร์ นพมาส แววหงส์ / FLATLINERS “ตราบาปในใจ”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

FLATLINERS “ตราบาปในใจ”

กำกับการแสดง Niels Arden Oplev

นำแสดง Ellen Page, Diego Luna, Nina Dobrev, James Norton, Kiersey Clemons, Kiefer Sutherland

หนังชื่อเดียวกันนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อน โดยมี โจเอล ชูมักเคอร์ เป็นผู้กำกับฯ

นักแสดงที่เล่นตอนนั้นยังหนุ่มสาวและเพิ่งก้าวเข้าวงการไม่นานนัก สมัยนี้กลายเป็นดาราหน้าเก่าและเก๋าไปหมดแล้ว

มี จูเลีย โรเบิร์ตส์ สมัยยังไม่ค่อยดัง และมาดังเป็นพลุแตกจากหนัง Pretty Woman ในปีเดียวกันนั้น มี เควิน เบคอน โอลิเวอร์ แพล็ตต์ บิลลี บอลด์วิน และ คีเฟอร์ ซัตเธอร์แลนด์ ซึ่งกลายเป็นคนหน้าเก่าคร่ำหวอดในวงการไปทั้งนั้น

คนสุดท้ายนี้ คือ คีเฟอร์ ซัตเธอร์แลนด์ ซึ่งตอนนั้นเล่นเป็นนักเรียนแพทย์ ตอนนี้กลับมาเล่นในบทเล็กๆ ของอาจารย์หมอในภาคสอง ซึ่งไม่มีอะไรต่อเนื่องจากภาคแรก นอกจากพล็อตที่คล้ายคลึงกัน

จนแทบไม่รู้จะเรียกว่าเป็น “remake” หรือ “sequel” ดี

เรื่องของเรื่องคือ นักศึกษาแพทย์ห้าคนตกลงทำการทดลองที่เสี่ยงตายอย่างยิ่ง นั่นคือทดลอง “ตาย” ไปจริงๆ

โดยทำให้หัวใจหยุดเต้นไปสามนาที ก่อนจะกระตุ้นหัวใจกลับขึ้นมาให้เต้นใหม่

ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากยังไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่าตายแล้วไปไหน หรือตายแล้วเป็นอย่างไร หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคลื่นสมอง

โต้โผของการทดลองนี้คือ คอร์ตนีย์ (เอลเลน เพจ) ซึ่งหนังเริ่มต้นเล่าเรื่องของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยที่คอร์ตนีย์ขับรถที่มีน้องสาวนั่งมาด้วย และด้วยความเผอเรอประมาทของเธอ ทำให้ละสายตาไปจากถนนชั่วครู่ ผลก็คือ รถพุ่งข้ามราวสะพานลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่าง

คอร์ตนีย์รอดชีวิตมาได้จากอุบัติเหตุครั้งนั้น แต่น้องสาวติดอยู่ในรถที่จมน้ำไป ไม่สามารถกู้คืนได้

ครั้นอีกหลายปีต่อมา คอร์ตนีย์มาเรียนแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นการเรียนที่เหนื่อยยากหนักหนาและการแข่งขันสูงจาก ดร.วูล์ฟสัน (คีเฟอร์ ซัตเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นนักแสดงคนเดียวที่กลับมามีบทบาทในภาคสองนี้) ซึ่งเอาแต่เคี่ยวเข็ญและกดดันในชั้นเรียน

คอร์ตนีย์เป็นต้นคิดในการลักลอบทำการทดลองแบบพิสดารนี้ โดยการชักชวนเจมี่ (เจมส์ นอร์ตัน) เพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นหนุ่มหล่อพ่อรวย และมาร์โล (นีนา โดเบรฟ) สาวเลือดเอเชียที่จวนเจียนจะสติแตกเพราะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเก่งพอจะเรียนหมอต่อไปได้ หลังจากแม่ทุ่มเทเงินทองส่งเสียให้เรียนหมอ

แรงจูงใจสำคัญของการทดลองด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พรักพร้อมนี้คือการศึกษาคลื่นสมองในขณะหัวใจหยุดเต้น และการทำงานของจิตหรือสมองระหว่างที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย และขณะตายไปชั่วขณะ

โดยย่อก็คือ การทดลองนี้จะทำให้ได้รู้ได้เห็นว่าชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร แม้เพียงตายไปชั่วขณะ

ชั่วขณะนั้นต้องไม่เกินสามนาที ก่อนที่จะกู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น

นั่นคือความเสี่ยงอย่างบ้าบิ่นสิ้นคิดของการทดลองแบบนอกคอกนี้

ซึ่งเป็นเหตุผลว่าด้วยวิทยาการล้ำยุคที่ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทำไมถึงไม่มีคนสติดีๆ คนไหนทำการทดลองแบบนี้ เพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของมนุษย์ ดังที่มีภาษิตของฝรั่งเตือนไว้ว่า “ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวให้ตายไปเสีย” (Curiosity kills the cat.)

จากนักเรียนแพทย์ร่วมชั้นสามคน เพื่อนอีกสองคนก็ถูกดึงเข้ามาร่วมด้วย จะว่าจากความอยากรู้อยากเห็น หรือความจำเป็นจำใจถูกบังคับมาก็ตาม

นั่นคือ เรย์ (ดิเอโก ลูนา) และโซเฟีย (เคียร์ซีย์ เคลมอนส์)

หลังจากความสำเร็จแบบทุลักทุเลของการทดลองครั้งแรก และผู้ที่เฉียดใกล้ความตายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดกลับมามีลมหายใจบนโลกต่อไป ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นประจักษ์ นอกจากภาพจากอดีตที่หลอกหลอน คือความจำที่แจ่มชัดอย่างน่าพิศวง

ซึ่งหมายความว่าความสามารถนี้จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตเบื้องหน้า

ดังนั้น เพื่อนร่วมทีมจึงเสนอตัว “ตาย” ในสภาวะเดียวกันนั้นต่อมาอีกหลายคน

มียกเว้นเพียงคนเดียวที่ดูฉลาดเฉลียวและมีความสามารถทางการแพทย์มากที่สุด ที่ไม่ได้ใช้ตัวเองเป็นหนูตะเภาทดลอง

แต่นี่ไม่ใช่หนังที่นำเสนอผลทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นหนังประเภทระทึกขวัญ ดังนั้น ประสบการณ์ของคนที่ตายไปชั่วขณะ จึงปรากฏเป็นเพียงจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกที่รับรู้ในการกระทำที่ถือเป็นตราบาปในชีวิตของแต่ละคน

ถึงขนาดที่ผลักดันให้กระทำการรุนแรงต่อชีวิตที่ยังเหลือของตน

หนังให้ทางแก้สำหรับตราบาปเหล่านั้นไว้เหมือนกัน เพราะมีตัวละครตัวหนึ่งตัดสินใจเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และไถ่โทษความชั่วร้ายที่เคยทำในอดีต ปัดเป่าตราบาปและสำนึกผิดที่ติดอยู่ในใจให้พ้นไปได้

หนังเรื่องนี้กำกับฯ โดย เนลส์ อาร์เดน โอเพลฟ ที่เคยกำกับฯ หนังสวีเดนยอดนิยม The Girl With the Dragon Tattoo ใน ค.ศ.2009 ซึ่งกลายเป็นหนังฮิตระดับนานาชาติ และทำให้ฮอลลีวู้ดต้องซื้อสิทธิ์มาทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่มี แดเนียล เครก กับ รูนี่ มารา นำแสดง และมี เดวิด ฟินเชอร์ เป็นผู้กำกับฯ

น่าเสียดายที่ Flatliners ภาคใหม่นี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และเรื่องราวออกจะจืดชืด เต็มไปด้วยช่องโหว่ของพล็อตมากมาย ทำให้ดูไปนึกข้องใจไปตลอด และหมดสนุกไปกว่าครึ่งค่อน

การวางแคแร็กเตอร์ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ

สรุปว่าถ้าไม่ได้ดู ก็ไม่ต้องเสียดายว่าพลาดอะไรไปหรอกค่ะ