อ.ธงทอง เผยเบื้องหลัง นำ รอง ปธน.สหรัฐ “กมลา” เดินชมพระอาราม พร้อมเป็นล่ามถวายสมเด็จพระสังฆราช

การประชุมเอเปก 2022 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นงานใหญ่ระดับนานาชาติที่มีผู้นำของต่างประเทศเดินทางเข้ามาร่วมประชุมจำนวนมาก ในฐานะข้าราชการเกษียณอายุแล้วผมไม่มีหน้าที่อะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ นอกจากคอยติดตามข่าวอย่างประชาชนคนหนึ่ง อย่างไรก็ดี ล่วงหน้าก่อนการประชุมราวสองสามสัปดาห์ ผมได้รับแจ้งจากพระมหาเตชินท์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผู้ทำหน้าที่อยู่ในคณะทำงานของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ ว่ารองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา นางกมลา แฮร์ริส มีความประสงค์จะเข้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชและเยี่ยมชมวัดราชบพิธ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เมตตาให้ผมได้ทำหน้าที่เป็นล่ามถวายสมเด็จพระสังฆราชและ ร่วมนำแขกเมืองสำคัญครั้งนี้เดินชมพระอาราม ผมนมัสการว่า ยินดีสนองพระเดชพระคุณด้วยความเต็มใจยิ่ง

ก่อนถึงวันรับแขกเมืองจริง ได้มีการจัดตั้งกลุ่ม LINE ขึ้นสำหรับผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติร่วมกัน เพื่อติดต่อสอบถามและยืนยันกำหนดการพร้อมทั้งข้อมูลต่างๆ ไลน์กลุ่มนี้ถึงแม้จะเป็นของสมาชิกชาวคณะวัดราชบพิธเท่านั้น แต่ก็ทำให้ผมได้เห็นภาพการประสานงานว่าต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และที่สำคัญคือสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยด้วย ทุกอย่างทำด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพิธีการ ใครมีหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างไร จำนวนคนมากน้อย การรักษาความปลอดภัย แสงสว่าง ห้องน้ำ ห้องพักคอยของเจ้าหน้าที่ และอื่นๆอีกสารพัด เพื่อให้วันที่ทำงานจริงทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ

ถึงวันที่ต้องทำหน้าที่จริง คือวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ผมได้รับแจ้งล่วงหน้าประมาณสองวันว่าแขกเมืองจะมาถึงวัดราชบพิธเวลา 18:40 น. เพื่อความปลอดภัยไม่มีอะไรตกหล่นผมจึงเดินทางไปถึงวัดราชบพิธตั้งแต่เวลา 15:00 น. โดยการแต่งกายวันนี้ตกลงกันว่าผมจะแต่งชุดสากล ส่วนข้าราชการจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแต่งชุดปกติขาว เจ้าหน้าที่อื่นของวัดราชบพิธแต่งสากลเช่นเดียวกันกับผม

เมื่อผมเดินทางไปถึงวัด ได้พบกับพระมหาเตชินท์ ซึ่งจะทำหน้าที่หลายหน้าที่ร่วมกัน พอดีกับคณะล่วงหน้าของฝ่ายอเมริกันกำลังเดินตามเส้นทางที่จะเป็นไปตามกำหนดการของรองประธานาธิบดีตั้งแต่ต้นจนจบ พระมหาเตชินท์และผมจึงได้พูดคุยซักซ้อมรายละเอียดต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้ซักซ้อมด้วยว่าระหว่างเดินนำชมพระอาราม ฝ่ายเราควรจะพูดอะไรกันบ้าง

รายละเอียดที่ตกลงกัน เช่น ตำแหน่งที่คณะช่างภาพจำนวนมากจะเฝ้ารอบันทึกภาพมีสามจุด จุดแรกขณะที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระปฏิสันถารกับรองประธานอธิบดีภายในพระอุโบสถ จุดที่สองขณะสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เดินนำรองประธานาธิบดีชมวัดโดยมีพระมหาเตชินท์และผมร่วมอธิบาย เวลาเดินผ่านระเบียงคดด้านทิศตะวันออก ฝ่ายอเมริกันขอให้เราเดินช้าหน่อยเพื่อให้ช่างภาพบันทึกภาพที่มองเห็นระเบียงคดและพระอุโบสถเป็นฉากหลังได้งดงาม จุดที่สามเป็นเหตุการณ์ภายในระเบียงคดชั้นใน ขณะเมื่อรองประธานาธิบดีเดินออกมาจากพระเจดีย์และกำลังจะเดินออกไปยังระเบียงคดชั้นนอก ตำแหน่งนี้ฉากหลังก็สวยงามเหมือนกัน เพราะเห็นรายละเอียดของพระอุโบสถได้ดี ที่นี้ฝ่ายอเมริกันก็ให้เราเดินช้าเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

อีกเรื่องหนึ่งที่ซักซ้อมกันให้เกิดความชัดเจน คือตำแหน่งยืนต้อนรับรองประธานาธิบดีเมื่อแรกเดินทางมาถึง ผู้รอต้อนรับจะมีสองคน คือผม และรองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ นางใจไทย อุปการนิติเกษตร จากกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายไทยทั้งสองคนจะยืนคอยรับอยู่ภายในบริเวณวัดเมื่อรองประธานาธิบดีเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว ผมได้ทราบว่าเมื่อรถของรองประธานาธิบดีจอดสนิท ท่านจะยังไม่ลงจากรถทันที หากแต่จะใช้เวลาประมาณสามสี่นาที เข้าใจว่าเพื่อประโยชน์สองอย่าง ข้อแรกคือให้คณะที่ร่วมเดินทางมาได้เข้ามาอยู่ภายในบริเวณวัดครบถ้วนพร้อมทำหน้าที่เสียก่อน อีกข้อหนึ่งคือเป็นเหตุผลเรื่องความปลอดภัย เจ้าหน้าที่จะตรวจตราทุกอย่างโดยรอบให้มั่นใจแล้ว ท่านรองประธานาธิบดีจึงจะเดินลงจากรถ

ผมสอบถามท่านรองอธิบดีกรมอเมริกาเพื่อความแน่ใจว่าสรรพนามบุรุษที่สอง ผมจะเรียกท่านรองประธานาธิบดีว่า Madame Vice President และเป็นที่เห็นพ้องกันทุกฝ่ายว่า การทักทายครั้งแรกจะใช้วิธีจับมือตามแบบสากล และกำหนดตำแหน่งยืนของทั้งผมและท่านรองอธิบดีให้ได้ภาพขณะจับมือกับรองประธานาธิบดีโดยมีฉากหลังเป็นพระอุโบสถด้านหน้าตระการตา

บ่ายวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว มีช่วงหนึ่งประมาณครึ่งชั่วโมง มีฝนตกลงมาตั้งแต่บ่าย 4 โมงครึ่งจนถึง 5 โมงเย็น ผมนึกในใจว่าตกลงมาเสียตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาที่แขกเมืองคนสำคัญมาถึงวัดจะได้ไม่ต้องกางร่มเกะกะหรือเปียกปอน แต่เพื่อความไม่ประมาท เจ้าหน้าที่ของวัดได้นำร่มจำนวนมากเพียงพอสำหรับการใช้งานมาสำรองไว้ด้วยแล้ว

ในราว 17:40 น. พวกเราได้รับแจ้งว่าการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ทำเนียบรัฐบาลเริ่มต้นขึ้นแล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เสร็จภารกิจทางนั้นแล้วคณะจะเดินทางต่อมายังวัดราชบพิธ ดังนั้นระหว่างนี้เราจึงมีเวลาหายใจหายคอพอสมควร ได้เวลาสมควรแล้ว ผมกับท่านรองอธิบดีจึงเข้าประจำตำแหน่งที่ตกลงกันไว้ ขบวนรถของท่านรองประธานาธิบดีมาถึงด้านหน้าวัดใกล้ทุ่มตรง แล้วทุกอย่างก็เดินหน้าไปตามที่ตกลงกัน

เมื่อได้พบปะทักทายกันแล้ว ผมเดินนำท่านรองประธานาธิบดีไปยังพระอุโบสถ ที่หน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถ มีเก้าอี้ตั้งไว้ตัวหนึ่งสำหรับท่านถอดรองเท้า ผมรีบถอดรองเท้าของผมเองแล้วเดินเข้าประตูพระอุโบสถอีกประตูหนึ่งทางด้านขวาเพื่อไปยืนรออยู่ภายใน เมื่อรองประธานาธิบดีเข้าไปในพระอุโบสถแล้ว ภารกิจแรกคือการเข้าเฝ้าดอกไม้ธูปเทียนแด่สมเด็จพระสังฆราช พานดอกไม้ธูปเทียนนั้นเปิดกรวยกระทงดอกไม้และวางอยู่บนโต๊ะหน้าพระเก้าอี้แล้ว ทรงใช้ผ้ากราบรับประเคน จากนั้นแขกเมืองคนสำคัญจึงนั่งเก้าอี้ทางด้านขวามือของสมเด็จพระสังฆราช ด้านหลังของเธอมีล่ามคนไทย(ชื่อคุณจำเริญฯ)ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของฝ่ายสหรัฐประจำการ ส่วนผมนั่งเก้าอี้ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ เก้าอี้แถวหน้าด้านซ้ายพระเก้าอี้ เป็นที่นั่งของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เก้าอี้หลังเจ้าประคุณสมเด็จเป็นของพระมหาเตชินท์

เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชรับสั่งทักทายรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นภาษาอังกฤษ (ซึ่งรับสั่งได้ดีอยู่แล้ว เพราะทรงเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นพระธรรมทูตอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นเวลาหลายปี) เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้ว สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ถวายพระดำรัสปรารภธรรมต้อนรับรองประธานาธิบดี ฉบับภาษาไทยที่เตรียมไว้เพื่อทรงอ่าน ขณะเดียวกันรองประธานาธิบดีก็หยิบฉบับภาษาอังกฤษซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะด้านข้างมาถือไว้ในมือแล้วเปิดอ่าน พร้อมกันนั้น ล่ามฝ่ายอเมริกาทำหน้าที่แปลให้ท่านรองประธานาธิบดีทราบความควบคู่กันไปด้วย

พระดำรัสครั้งนี้ นอกจากการกล่าวต้อนรับตามแบบธรรมเนียมแล้ว ได้รับสั่งถึง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธอังคีรสซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ตลอดถึงสมเด็จพระมหากษัตริย์ในอดีตหลายพระองค์ที่ทรงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้เสด็จพระราชสมภพที่สหรัฐอเมริกา และมีพระบรมราชสรีรังคารของหลายพระองค์ประดิษฐานอยู่ที่พุทธบัลลังก์ของพระพุทธอังคีรส รับสั่งถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ ซึ่งมีมายาวไกลและจะเพิ่มพูนขึ้นในวันข้างหน้า ลงท้ายใกล้จบ ทรงชี้ชวนให้รองประธานาธิบดีสังเกต ตราแผ่นดินเหนือประตูทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งมีแถบแพรจารึกภาษาบาลี เป็นภาษิตความว่า “ความพร้อมเพรียงของปวงชนผู้เป็นหมู่ ยังความเจริญให้สำเร็จ” ทรงฝากธรรมะข้อนี้ไว้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจที่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น ทั้งระหว่างชาติเราทั้งสองและในโลกนี้ด้วย

ระหว่างที่รับสั่งนี้ เมื่อรับสั่งถึงเรื่องใดสิ่งใดที่อยู่ภายในพระอุโบสถ ก็ทรงผินพระพักตร์และทรงชี้ชวนแนะนำรองประธานาธิบดีให้ได้เข้าใจและทำความรู้จักไปโดยตลอด

จบพระดำรัสอย่างเป็นทางการแล้ว จากนั้นไปเป็นการสนทนาตามพระอัธยาศัย เริ่มต้นจากการปฏิสันถารในเรื่องทั่วไป เช่น รองประธานาธิบดีสนองรับสั่งถามว่าไม่เคยเดินทางมาเมืองไทยมาก่อน ครั้งนี้เป็นคราวแรก แต่ผู้เป็นสามีเคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสามปีก่อนเพื่อไปเที่ยวทางภาคเหนือ สมเด็จรับสั่งตอบฝ่ายเขาบ้างว่าเคยเสด็จไปอเมริกาสองสามครั้ง รองประธานาธิบดีกราบทูลถามว่าเคยเสด็จแคลิฟอร์เนียหรือไม่ เมื่อทราบว่าเคยเสด็จ เธอก็กราบทูลต่อไปว่าเธอมาจากรัฐนั้น เมื่อพูดกันถึงเรื่องอินเดีย เธอบอกว่าเธอมีเชื้อสายอินเดียเพราะมีคุณแม่เป็นชาวอินเดีย สมเด็จรับสั่งว่าได้เสด็จไปเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยพาราณสีที่ประเทศอินเดีย ทรงรู้จักคุ้นเคยกับประเทศอินเดียและชาวอินเดียเป็นอย่างดี

รองประธานาธิบดีกราบทูลถามว่า ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในที่ใดก็ตาม สมเด็จทรงมีคำแนะนำอย่างไรบ้างเพื่อแก้ปัญหา รับสั่งตอบว่า ต้องสร้างความเข้าใจระหว่างกันให้เกิดขึ้น ต้องมีทิฏฐิคือความเห็นที่ถูกต้องก่อน ถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ได้แล้วก็จะช่วยกันแก้ปัญหาได้

อีกเรื่องหนึ่งแขกเมืองกราบทูลถามว่า เมื่อเกิดปัญหาใหญ่ของโลกขึ้น เช่น การระบาดใหญ่ของโรคโควิด ชาวโลกควรจะทำอย่างไร รับสั่งตอบว่า เราต้องสามัคคีเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าเราช่วยกันเต็มไม้เต็มมือแล้ว เราก็จะก้าวผ่านปัญหาทั้งหลายไปได้ด้วยความสามัคคี

สมควรแก่เวลาแล้ว ทรงพระดำเนินนำรองประธานาธิบดีไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมสิ่งของพร้อมทั้งหนังสือต่างๆที่จะทรงมอบให้เป็นที่ระลึก โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์และพระมหาเตชินท์เฝ้าอยู่ด้วย ส่วนผมรีบเดินออกไปด้านนอกพระอุโบสถเพื่อสวมรองเท้าและรอทำหน้าที่ในภารกิจส่วนที่สองคือการเดินนำชมพระอารามต่อไป

คณะเดินชมพระอาราม เป็นคณะเล็กมีเพียงสองรูปกับสองคน ได้แก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ผู้รับพระบัญชามาทำหน้าที่ผู้แทนวัดราชบพิธ กับพระมหาเตชินท์ ท่านรองประธานาธิบดี และผม การกำหนดอย่างนี้ทำให้บรรยากาศการเดินชมรื่นรมย์ สามารถพูดคุยซักถามโต้ตอบกันได้สะดวกสบาย ไม่พะรุงพะรัง ผมเข้าใจเพิ่มเติมเองว่า ภาพที่ช่างภาพบันทึกได้ก็จะสวยงาม เห็นทั้งท่านรองประธานาธิบดีและเห็นทั้งพระอารามได้กระจัดกระจ่างดี

เส้นทางเดินเมื่อออกจากประตูอุโบสถแล้วเลี้ยวขวาไปตามระเบียงคดด้านนอกฝั่งด้านทิศตะวันออก สมเด็จแนะนำให้รองประธานาธิบดีได้สังเกตพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงสถาปนาพระอาราม พร้อมทั้งนิทรรศการสังเขปเรื่องประวัติของวัดราชบพิธและอดีตเจ้าอาวาส พระมหาเตชินท์กับผมทำหน้าที่เสริมความและร้อยเรื่องเข้าด้วยกัน เมื่อเข้าไปถึงระเบียงคดชั้นใน คณะทั้งหมดเลี้ยวซ้ายวนรอบพระเจดีย์ เมื่อถึงประตูทางเข้าพระเจดีย์ซึ่งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ข้างในนั้นเป็นที่แคบอยู่สักหน่อย เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์จึงรออยู่ด้านนอก มีเพียงพระมหาเตชินท์และผมนำเข้าชมภายใน แขกเมืองสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆซึ่งมีอยู่จำนวนมากพอสมควรภายในพระเจดีย์ คราวนี้ก็เป็นเรื่องยาวเลยทีเดียว เพราะต้องสาธยายเรื่องปางนาคปรก ปางไสยาสน์ ปางอุ้มบาตร ปางรำพึง ปางห้ามญาติ ปางห้ามสมุทร และเลยไปจนถึงเรื่องพระพุทธรูปทรงเครื่องด้วย

พระมหาเตชินท์ได้เล่าถึงเรื่องพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์เหนือพระพุทธรูปศิลา ว่าเป็นฉัตรที่เคยกางกั้นอยู่ที่พระเมรุ ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพเมื่อหลายปีก่อน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันได้ทรงนำมาถวายเป็นพุทธบูชา

ภายในพระเจดีย์มีเรื่องเล็กๆแต่มีความหมายมากอยู่เรื่องหนึ่ง คือดอกไม้ที่ตั้งแต่งเป็นเครื่องบูชาส่วนใหญ่เป็นดอกบัว พับกลีบแล้วจัดลงแจกันหรือจัดพุ่มอย่างสวยงาม เราได้คุยว่าดอกบัวนั้นเป็นคำแปลของคำว่า กมลา ชื่อของท่านรองประธานาธิบดี ท่านยิ้มแย้มด้วยความพึงพอใจและทราบว่าท่านทราบคำแปลนี้มาก่อนแล้ว ท่านยังได้อวดสร้อยข้อมือให้ผมชมใกล้ๆ เป็นสร้อยข้อมือที่ประดับด้วยแผ่นโลหะสีทอง ตรงกลางมีรูปดอกบัวบานกลีบขยายจำนวนห้ากลีบ ดูเหมือนจะเป็นสร้อยที่ท่านใช้ประดับอยู่เป็นประจำ

เมื่อเดินออกจากระเบียงคดชั้นใน เรากลับมาเดินที่ระเบียงคดชั้นนอกต่อไปยังพระวิหาร ภายในพระวิหาร คณะทำงานของวัดราชบพิธได้เตรียมสิ่งของไว้ให้ท่านรองประธานาธิบดีชมสองอย่าง อย่างแรกคือตัวอย่างงานระดับกระเบื้องโมเสกเป็นเรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชดำริค้างเก่ามาตั้งแต่รัชกาลที่เจ็ด แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ เพิ่งจะมาเริ่มทำช่วงนี้ โดยจัดจ้างช่างฝีมือเก่าที่ประเทศอิตาลีเป็นผู้ทำงาน จะใช้เวลาอีกสามสี่ปีจึงจะสำเร็จเรียบร้อย ผมกราบเรียนท่านรองประธานาธิบดีว่า ถ้ามีโอกาสท่านมาเยี่ยมวัดคราวหน้า หวังว่างานกระเบื้องโมเสกประดับพระอุโบสถจะสำเร็จเรียบร้อยให้ท่านได้ชมแล้ว

สิ่งของอย่างที่สองที่น่าชมเป็นอย่างยิ่งคือ พระไตรปิฎกจารึกอักษรขอมบนลานทอง ซึ่งเป็นของพระราชทานไว้ตั้งแต่สร้างพระอาราม พระไตรปิฎกนี้มีจำนวนครบชุด บรรจุอยู่ในกล่องอย่างดีประดิษฐานอยู่หลังพระพุทธปฏิมาประธานในพระวิหาร ทางวัดได้นำตัวอย่างมาให้ชมเพียงแค่กล่องสองกล่องเท่านั้น

ก่อนออกจากพระวิหาร รองประธานาธิบดีลงนามในสมุดเยี่ยม ซึ่งท่านเขียนมีใจความสังเขปว่าท่านรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้เฝ้าสมเด็จพระสังฆราช และได้เยี่ยมชมวัดที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ มีทั้งประวัติศาสตร์และมรดกที่น่าสนใจ ขอขอบคุณที่มอบเกียรตินี้ให้กับท่าน

เมื่อลงนามเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราออกจากพระวิหารเลี้ยวขวาเดินไปตามพระระเบียงชั้นนอกฝั่งด้านทิศตะวันตก ท่านรองประธานาธิบดีและพระมหาเตชินท์สนทนากันเรื่องนิกายต่างๆในพระพุทธศาสนา เรื่องของมหายาน เถรวาท ตลอดไปจนถึงวัชรยาน ผมสังเกตเห็นว่าท่านรองประธานาธิบดีมีความรู้และมีความสนใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี

ที่ระเบียงคดทางมุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มองเห็นอาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดราชบพิธ ผมจึงถือเป็นโอกาสที่จะเล่าถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นฐานการศึกษาของเมืองไทยให้แขกเมืองได้ทราบด้วย

เมื่อเดินครบรอบ ตรงประตูด้านหน้าพระอุโบสถ คณะผู้นำชมได้ชวนท่านรองประธานาธิบดีชมบานประตูประดับมุก ซึ่งเป็นงานฝีมือเก่ากว่า 150 ปี ทำเป็นลวดลายสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ ท่านรองประธานาธิบดี มีความทรงจำแม่นยำดีมาก โดยท่านเป็นผู้รำลึกขึ้นเองว่าเป็นลวดลายเดียวกันกับลายที่ประดับประตูพระวิหารที่เราเดินผ่านมาแล้วเพียงแต่สร้างขึ้นด้วยวัสดุต่างกัน

การเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชและชมพระอารามครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม เมื่อเดินครบรอบทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระมหาวีรวงศ์และพระมหาเตชินท์ ส่งแขกเมืองเพียงที่หน้าพระอุโบสถ มีผมกับท่านรองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ เดินไปส่งท่านรองประธานาธิบดีที่ประตูวัดด้านทิศเหนือในตำแหน่งที่เทียบรถของท่านเมื่อแรกเดินทางมาถึง จับไม้จับมือร่ำลากันอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของผมในคราวนี้

ธงทอง จันทรางศุ
20 พฤศจิกายน 2565