หนทาง พิสูจน์ม้า กาลเวลา พิสูจน์ ลิ่มซีอิม เบื้องหน้า ลี้คิมฮวง | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

หนทาง พิสูจน์ม้า

กาลเวลา พิสูจน์ ลิ่มซีอิม

เบื้องหน้า ลี้คิมฮวง

 

จากหลังภูเขาจำลอง จากหลังต้นไม้ ทุกการเคลื่อนไหว ณ เบื้องหน้า ไม่ว่าของอิ้วเล้งเซ็ง ไม่ว่าของเตี่ยเจี่ยหงี ไม่ว่าของฉั้งฉิก

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เล้งโซ่วฮุ้น”

ล้วนไม่รอดพ้นไปจากสายตาอันเยือกเย็นและสุขุมของลิ่มซีอิม ทุกอิริยาอาการ ทุกคำพูดล้วนได้รับการซึมซับ รับไป

ดวงตาคู่งามมีประกายแตกตื่นสงสัย บ่งสะท้อนความเจ็บแค้นรันทดสุดซึ้ง

สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ระบุว่า นางยืนตัวสั่นระริก น้ำตาเนืองนองเต็มหน้า สามีของนางถึงกับเป็นโจรร้ายที่ขายมิตรสหาย

หัวใจลิ่มซีอิมแหลกสลายแล้ว

นางสะอึกสะอื้นเบาๆ จากนั้น คล้ายตกลงใจแน่วแน่ก้าวอาดๆ ไปยังห้อง (ซึ่งกักขัง) ลี้คิมฮวง แต่ขณะเวลานั้นมีเสียงฝีเท้าถี่เร็วแว่วดัง

เป็นฉั้งฉิกได้พาชายฉกรรจ์อาภรณ์รัดกุม 7-8 คนเร่งรุดมา

ลิ่มซีอิมถลันกายหลบเข้าไปในเงามืดหลังภูเขาจำลองอีกครั้ง ในเงามืดนั้นนางขบริมฝีปากแน่น

ขบจนมีโลหิตซึมออกมาแล้ว

คําสั่งอันออกจากปากฉั้งฉิกต่อชายฉกรรจ์ 7-8 คนที่เร่งรุดมาที่ว่า “เฝ้าประตูไว้อย่าให้ผู้ใดเข้าไป หากมีคนบุกรุกล้วนฆ่าโดยไม่ละเว้น”

คำสั่งนี้ชวนให้ไขว้เขวว่า อาจเพื่อรับมือกับ “อาฮุย”

พลิก “เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า” ต่อไปก็ค่อยๆ คลี่คลาย เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ

เงาร่างสายหนึ่งเดินเข้ามา ฝีเท้าแม้ไม่มั่นคงแต่ยังเดินเร็วยิ่ง

คนผู้นี้เป็นซิงแซขลุ่ยเหล็กซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงในวันนี้ ได้ยินเสียงซิงแซขลุ่ยเหล็กกล่าวเสียงเกรี้ยวกราด

“ผู้แซ่ลี้ใช่อยู่ในห้องหลังนี้หรือไม่”

เหล่าชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูหันไปมองหน้ากัน กล่าวว่า “พวกเราไม่ทราบ ฉั้งฉิกเอี้ยมีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจเข้าไป”

“ฉั้งฉิกรึ ฉั้งฉิกเป็นตัวอะไร พวกเจ้ารู้จักเราหรือไม่”

ชายฉกรรจ์ทั้ง 7-8 คนที่ยืนอยู่จับจ้องมองคราบโลหิตบนร่างซิงแซขลุ่ยเหล็กแล้วกล่าวอย่างยืนกราน

“ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้”

วินาทีเป็น วินาทีตายในระหว่างการตัดสินใจของทิเต็กซิงแซ สถานการณ์ของลี้คิมฮวงดำเนินไปอย่างไร

ขอให้พลิกไปยัง “ฤทธิ์มีดสั้น”

ลี้คิมฮวงพริ้มตาอยู่ คล้ายดังหลับใหลไปแล้ว ทันใดได้ยินเสียงแผดร้องโหยหวนที่ไม่ดังเท่าไรและสั้นอย่างยิ่งอีกด้วย

ลี้คิมฮวงทราบ

มีแต่อาวุธลับที่คมกริบชนิดหนึ่งพุ่งเข้าใส่คอหอยของคนจึงจะกระทั่งแผดร้องก็ยังไม่มีเสียง

สภาพเช่นนั้นลี้คิมฮวงย่อมเคยเห็นมามากแล้ว

ลี้คิมฮวงขมวดคิ้ว รำพึง “หรือมีคนมาช่วยเราอีก”

จากนั้น ได้เห็นชายชรา (อยู่ใน) เสื้อเขียว มือถือขลุ่ยเหล็กเลาหนึ่งเดินเข้ามา แม้ใบหน้าจะซีดขาวไร้สีเลือด

แต่บิดเบี้ยวจนอำมหิตยิ่ง

ลี้คิมฮวงจับตามองไปที่ขลุ่ยเหล็กในมือมันพลางกล่าว “เป็นทิเต็กซิงแซหรือ”

ทิเต็กซิงแซเขม้นตามองแน่วนิ่งพลางส่งเสียง “ท่านถูกคนสกัดจุดไว้”

 

ไม่ว่ามองผ่าน “ฤทธิ์มีดสั้น” ไม่ว่ามองผ่าน “เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า” ต้องยอมรับว่า “โกวเล้ง” ถ่ายสะท้อนแต่ละบทบาทออกมาได้ยอดเยี่ยม

สั้น กระชับ ให้ภาพชัด

เพียงเห็นขลุ่ยเหล็กก็รู้โดยพื้นฐานว่าเป็นใคร เพียงเห็นอากัปกิริยาก็ระบุออกมาได้ว่าดำรงอยู่อย่างไร

ลี้คิมฮวงยิ้มพลางกล่าว

“เมื่อท่านเห็นที่เบื้องหน้าของข้าพเจ้าไม่มีสุราดื่มคราใด (ครานั้น) เป็นต้องไม่เคลื่อนไหวเลยสักน้อยนิด”

เหมือนจะปฏิเสธ แต่ก็ยอมรับ

“ในเมื่อท่านไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน เราความจริงไม่ควรฆ่าท่าน” เหมือนเป็นคำอธิบาย เหมือนเป็นคำชี้แจง

“แต่ทว่า เราอย่างไรยังต้องฆ่าท่านอยู่นั่นเอง”

นั่นย่อมเป็นความมุ่งมั่น

 

ความมุ่งมั่นของซิงแซขลุ่ยเหล็กเคยมีการขยายมาแล้วหนหนึ่งในสถานการณ์ที่มันรอคอยอาฮุยอยู่ในดงเหมย

แต่ก็ยังถาม “ท่านไม่ถาม เราไฉนคิดฆ่าท่าน”

“หากข้าพเจ้าถามเกรงว่าอดมีโทสะมิได้ และอธิบายต่อท่านท่านคงยังไม่เชื่อยังต้องฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไยต้องเปลืองคารมมากความ”

ซิงแซขลุ่ยเหล็กงงงันวูบหนึ่งจึงร้องดังๆ “มิผิด ไม่ว่าท่านกล่าวกระไรเราล้วนต้องฆ่าท่าน”

สีหน้ามันปรากฏแววพลุ่งพล่านปวดร้าวขึ้น ร่ำร้อง “ยู่อี่ ท่านแม้ตายอย่างอนาถ แต่เรานับว่าล้างแค้นให้แก่ท่านแล้ว”

พลางยกขลุ่ยเหล็กขึ้น

“ยู่อี่ (สมปรารถนา) ท่านพอพบเห็นข้าพเจ้าคาดว่าคงตื่นตระหนกยิ่ง ทั้งนี้ เพราะท่านทั้งไม่รู้จักข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักท่าน”

เหมือนกับเป็นการอธิบาย แต่ก็เท่ากับเป็นการตั้งคำถาม

 

ทันใดนั้น ลิ้มซีอิมถาโถมเข้ามา ร้องดังๆ ว่า “รอสักครู่ ข้าพเจ้ามีคำพูดจะกล่าว ข้าพเจ้าไม่คิดขัดขวางท่าน แต่นี่เป็นบ้านของข้าพเจ้า

หากจะฆ่าคนอย่างน้อยต้องให้ข้าพเจ้าลงมือ

เหตุผลที่ข้าพเจ้าคิดฆ่าเขามีมากกว่าท่าน ท่านเพียงคิดล้างแค้นให้แก่ภรรยา ข้าพเจ้ากลับคิดล้างแค้นให้แก่บุตรชาย

ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว”

ความหมายในวาจานางคือ “ท่านไม่เพียงมีภรรยาคนเดียว”

ซิงแซขลุ่ยเหล็กเงียบงันนิ่งอยู่นานจึงกล่าว “ตกลง เรารอจนท่านลงมือ ค่อยลงมือตามติด”

มันเชื่อมั่นว่า ตะปูเงินในขลุ่ยเหล็กของมันรวดเร็วดุจสายฟ้า

ต่อให้ใช้ทีหลังจะบรรลุถึงก่อน หาคาดไม่ว่าลิ้มซีอิมพอเดินผ่านหน้ามันพลันฟาดฝ่ามือกลับหลัง

กระแทกใส่ทรวงอกมัน

 

ลิ่มซีอิมมีวิชาฝีมือไม่สูง แต่อย่างไรก็มิใช่สตรีที่อ่อนแอไม่อาจต้านลมแรง ฝ่ามือนี้นางใช้กำลังเท่าที่มี

ทิเต็กซิงแซที่มิทันระวังถึงกับถูกนางฟาดจนกระแทกเข้าใส่ผนัง

ทิเต็กซิงแซที่ความจริงบอบช้ำอย่างยิ่งอยู่แล้ว อาศัยแต่อาวุธลับทำอันตรายคนเท่านั้นตอนนี้เมื่อถูกฟาดอย่างหนักหน่วง ปากแผลปริออกจากกัน โลหิตฉีดกระจายอีกครั้ง

สลบไสลไปแล้ว

ลิ่มซีอิมพลุ่งพล่านจนแทบล้มลงไปเช่นกัน ลี้คิมฮวงทราบ ในชั่วชีวิตของนางกระทั่งมดยังไม่อาจหักใจไปเหยียบขยี้ ตอนนี้เมื่อเห็นนางถึงกับลงมือทำอันตรายคนบังเกิดความรู้สึกที่มิทราบเจ็บปวดหรือปีติ

แต่หักใจให้อำมหิตกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านตะกายกลับมาด้วยเรื่องอันใด”

ลิ่มซีอิมสูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้งจึงข่มร่างมิให้สั่นระริกได้ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามาปล่อยท่านไป ข้าพเจ้าทราบว่าท่านไม่ยอมไปเพราะเห็นแก่เล้งโซ่วฮุ้น แต่ท่านมิทราบว่า มัน มัน มัน”

ร่างนางสั่นระริกขึ้นอีกครา และยังสั่นรุนแรงกว่าเมื่อครู่เสียอีก กำหมัดแนบแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ใช้กำลังทั้งมวลจึงสามารถเค้นเปล่งเสียงออก

“มันขายท่านแล้ว มันความจริงสมคบกับพวกประดานั้น”

เมื่อกล่าววาจานี้จบ เรี่ยวแรงของนางปลาสนาการหมดสิ้น หากมิใช่เกาะขอบโต๊ะไว้นางต้องล้มลงไปแล้ว

นางเข้าใจว่า เมื่อลี้คิมฮวงฟังวาจานี้จะต้องตระหนกอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่แท้

 

ความสัมพันธ์ “เดิม” ระหว่างลิ่มซีอิมกับลี้คิมฮวงมากด้วยความสลับซับซ้อน ไม่เพียงแต่เป็น “สหาย”

หากดำรงอยู่ในกระสวนแห่ง “คนรัก”

ถามว่าภายในความสัมพันธ์แม้จะแฝงไว้ด้วยความเจ็บช้ำ รันทด แต่ “เยื่อใย” และ “ไมตรี” ยังดำรงคงอยู่หรือไม่

บางที “คำตอบ” อาจจะยิ่งยอกย้อนและซ่อนเงื่อน แฝงปม