นักวิจัยญี่ปุ่น เปิดตัว “Buddhabot” เหมือนแชทคุยกับพระพุทธเจ้า | จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

คนไทยถูกฝึกสอนให้รู้จักทำสมาธิ วิปัสสนา สังเกตลมหายใจเข้าออกกันตั้งแต่เด็กๆ จนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของที่อยู่ใกล้ตัวจนอาจจะเผลอคิดไปว่า ถ้าอยากจะทำขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะทำได้ง่ายๆ ทันทีโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรทั้งนั้น

ในขณะที่ศาสตร์การทำสมาธิหรือการตระหนักรู้ปัจจุบันขณะเป็นเรื่องที่ชาวต่างชาติหันมาให้ความสนใจกันอย่างจริงจังได้สักระยะหนึ่งแล้ว แอพพลิเคชั่นช่วยฝึกทำสมาธิ ผ่อนคลายจิตใจให้สงบพร้อมรับต่อสถานการณ์ต่างๆ ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามไปทั่วโลก

ตัวฉันเองก็มีดาวน์โหลดมาติดสมาร์ตโฟนเอาไว้ เพราะในบางครั้งที่รู้สึกจิตใจว้าวุ่นมากๆ แอพพ์ที่ช่วยนำลมหายใจเข้าออกและเสียงกล่อมเกลาที่เยือกเย็นฟังสบายก็ช่วยทำให้ใจสงบลงได้เหมือนกัน

เทคโนโลยีเหล่านี้อาจจะตอบโจทย์เรื่องการช่วยทำสมาธิและเพิ่มความตระหนักรู้ แต่สิ่งที่ยังขาดไปและทำให้เทคโนโลยีไม่สามารถแทนที่การไปวัดเพื่อไปฟังธรรมหรือสนทนาธรรมกับพระได้ก็คือ มันยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจหรือช่วยหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิตได้

จนกระทั่งนักวิจัยญี่ปุ่นเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) มาสร้างพระพุทธเจ้าในชื่อ Buddhabot หรือหุ่นยนต์พระพุทธเจ้า

ซอฟต์แวร์นี้เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโตและทีมงานศาสนา มีการตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้ระบบสามารถจำคำสอนพระพุทธเจ้าได้กว่า 1,000 คำสอน อย่างเช่น สุตตานิพัทธ์และธรรมบท เป็นต้น

ผู้ใช้งานสามารถป้อนคำถามให้พระพุทธเจ้าเอไอ ช่วยชี้ทางสว่างให้ ซึ่งพระพุทธเจ้าเอไอก็จะปรากฏตัวมาในรูปแบบอวตารขนาดย่อมอยู่บนจอโทรศัพท์ เทคโนโลยี Augmented Reality สามารถซ้อนภาพพระพุทธเจ้าเอไอลงไปกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ให้เรารู้สึกเหมือนกับท่านมานั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าเราจริงๆ

หากป้อนคำถามเข้าไปว่า อะไรคือความสุข คำตอบที่จะได้ก็คือ เมื่อใดที่เราเป็นคนช่างสังเกตและหาสาเหตุของความทุกข์จนพบ เมื่อนั้นเราจึงจะสัมผัสความสุขได้

ฉันอาจจะไม่แม่นคำสอนสักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าคำตอบนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจสี่ที่พูดถึงการดับทุกข์ใช่ไหมคะ

นักพัฒนาซอฟต์แวร์จากมหาวิทยาลัยเกียวโตบอกว่า ทีมงานช่วยกันสร้างพระพุทธเจ้าเอไอขึ้นมา เพราะต้องการช่วยบำบัดเยียวยาจิตใจให้ผู้คนในยุคที่เรื่องราวต่างๆ ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปจนถึงสงครามในยูเครน เพราะพวกเขาเชื่อว่าศาสนาพุทธมีคำสอนที่มีคุณค่าที่สืบต่อส่งทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล และพวกเขาอยากให้คนในสังคมสมัยใหม่ได้นำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติเพื่อที่จะค้นพบแนวทางนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขกว่าเดิมได้

วัดในศาสนาพุทธในญี่ปุ่นหลายแห่งทยอยปิดตัวลง เพราะจำนวนประชากรลดลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากการเป็นสังคมสูงวัย ดังนั้น ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จึงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเข้าวัดบนเมตาเวิร์ส เมื่อเราใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตในเมตาเวิร์ส เมตาเวิร์สก็ควรจะมีศาสนสถานให้เราสามารถเข้าไปพึ่งพิงทางจิตใจด้วย

อย่างไรก็ตาม ทีมงานผู้พัฒนาก็บอกว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าเอไอยังอยู่ในช่วงทดลองและยังไม่พร้อมเปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้งานเพราะจะต้องปรับปรุงหลายๆ อย่าง อย่างเช่น การใช้ภาษาผิดไวยากรณ์ หรือความผิดพลาดต่างๆ ที่ทำให้พระพุทธเจ้าเอไอให้คำตอบที่อ่านไม่รู้เรื่อง

ดูเหมือนกับทีมผู้พัฒนาจะเข้าใจดีว่าสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างการนำเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับคำสอนทางศาสนานี้จะทำแบบส่งเดชไม่ได้เลย เพราะพวกเขาบอกว่า ถ้าหากไม่ระวัง พระพุทธเจ้าเอไออาจจะชี้ทางที่ผิดและชักจูงคนไปสู่เส้นทางที่อันตรายได้

อย่างเช่น ถ้าผู้ใช้งานเกิดคุยกับพระพุทธเจ้าเอไอว่ากำลังมีความคิดอยากฆ่าตัวตายและได้รับคำแนะนำผิดๆ ก็อาจจะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงได้

 

มหาวิทยาลัยเกียวโตลองจัดทำเวิร์กช็อปให้บุคลากรและนักศึกษาทดลองใช้งานพระพุทธเจ้าเอไอ นักศึกษาชายวัย 19 ปีคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนตัวยงกีฬาฟุตบอลก็ลองถามพระพุทธเจ้าว่า นักฟุตบอลที่ดีจะต้องเป็นอย่างไร ซึ่งเอไอก็ตอบว่า จงละทิ้งความหวงแหนเสีย

นักศึกษาคนนี้บอกว่า ถ้าเพื่อนกันมาให้คำปรึกษาแบบนี้เขาคงขำจนหงายหลังไปแล้ว แต่พอเป็นคำสอนที่มาจากพระพุทธเจ้า เขาก็บอกว่าเขาเปิดใจรับฟังมากขึ้น

ฉันคิดว่าคำตอบของเขาน่าสนใจมากทีเดียว มันทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะถ่ายทอดผ่านทางพระสงฆ์ ทางหน้ากระดาษหนังสือ หรือหน้าจอสมาร์ตโฟนในรูปแบบของอวตารขนาดเล็ก ก็ไม่ได้มีผลทำให้คนเชื่อถือน้อยลงแต่อย่างใด ตราบใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคำสอนของท่าน เราจะรับรู้มาจากช่องทางไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

พระพุทธเจ้าเอไอที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ด้วยสมาร์ตโฟนของตัวเองจะเป็นทางออกให้กับปัญหาที่คนยุคใหม่มีเวลาน้อยหรือสนใจเข้าวัดน้อยลงแต่ยังคงต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และยังอยากนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้เพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต

แถมคนยุคใหม่ยังชินกับการแชตส่งข้อความมากกว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์หรือการคุยกันแบบซึ่งๆ หน้า เมื่อเห็นว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงคำสอนในศาสนาพุทธได้ด้วยการแชตก็น่าจะทำให้เปิดใจมากขึ้น

 

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับศาสนพิธีแล้วหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่สวดมนต์แทนพระ หรือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยให้คนญี่ปุ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้ผ่านทางออนไลน์ เป็นต้น

ตัวฉันเองคิดว่ารูปแบบภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ได้ตราบใดที่เนื้อแท้ข้างในยังคงดำรงอยู่อย่างชัดเจน ฉันจะไปสวดมนต์ที่วัดด้วยตัวเอง จะทำสมาธิผ่านแอพพลิเคชั่นอยู่ที่บ้าน หรือจะสวมแว่นวีอาร์เพื่อนั่งสนทนาธรรมกับพระเสมือนจริงก็คงจะไม่ใช่สาระสำคัญอะไร ตราบใดที่ฉันได้รับความสงบทางจิตใจ หรือความเข้าใจในชีวิตที่เป็นอยู่ได้อย่างถ่องแท้

เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว