รู้จักเมืองชื่อน่ารัก Deerfield , Massachusetts, USA ทุ่งแห่งนี้ไม่มีกวาง : อัษฎา อาทรไผท

อัษฎา อาทรไผท

เมืองชื่อน่ารักว่า Deerfield แปลแบบตรงไปตรงมาได้ว่า “ทุ่งกวาง” เป็นเมืองเล็ก ๆ ทางทิศตะวันตกของรัฐที่สะกดชื่อยากกว่ารัฐอื่นๆ อย่าง Massachusetts

ชื่อ “แมสซาชูเสท” นี้  เป็นชื่อที่เอามาจากชื่อเผ่า ๆ หนึ่ง ของอินเดียนแดง สาย Algonquin แปลว่า “Great  Hill Small Place” พวกเขาเคยควบม้าล่าสัตว์กันอยู่แถว ๆ เนินเขาเล็ก ๆ ก่อนที่ชาวอังกฤษจะมาตั้งรกรากเป็นเมืองแล้วให้ชื่อว่าบอสตันตั้งแต่ช่วงค.ศ. 1625

ที่ บอสตัน นี้เองในยุคที่ชาวอังกฤษรอนแรมข้ามมหาสมุทรมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่อเมริกา ใครที่มาถึงก่อน สร้างฐานะได้ก่อนก็จะอาศัยอยู่ละแวกนั้น ซึ่งเป็นเมืองหัวใจของ New England แผ่นดินใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสของชาวอังกฤษ ส่วนคนมาทีหลังก็ต้องออกตระเวนหาที่ลงหลักปักฐานกันห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และในยุคเริ่มต้นของการมาตั้งรกรากที่อเมริกา Deerfield ถือเป็นชุมชนชาวอังกฤษที่ตั้งอยู่ห่างไกลที่สุด จะเรียกว่าชายแดนระดับไกลปืนเที่ยงเลยก็ว่าได้

แม้ Deerfield จะอยู่ห่างไกลออกมาถึงประมาณ 160 กิโลเมตร ผู้มาตั้งรกรากก็มิได้ย่อท้อ ขนข้าวขนของ พาครอบครัวปีนขึ้นเกวียน แล้วค่อย ๆ รอนแรมมุ่งหน้าไปบนถนนลูกรัง โดยมีจุดหมายที่ทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ ที่ว่ากันว่ามีดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เพราะมีแม่น้ำไหลผ่านถึงสามสาย เหมาะแก่การเพาะปลูกอย่างยิ่ง

ในช่วงแรกของการก่อตั้งชุมชม Deerfield ชาวอังกฤษและชาวอินเดียนแดงที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนหน้าถึงกว่า 8,000 ปี อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข มีการแลกเปลี่ยนทั้งความรู้และอาหาร พึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี แต่โรคติดต่อที่ชาวอังกฤษนำมาด้วย ก็ได้คร่าชีวิตชาวอินเดียนแดงไปจำนวนมาก

ต่อมาเมื่อทางการอังกฤษได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในอาณานิคมใหม่ของเครือจักรภพในพื้นที่แถบนี้ เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินแถวนั้นไม่เข้าใครออกใคร ทางการประกาศกร้าว สิทธิในการเพาะปลูกไม่ได้เป็นของชาวอินเดียนแดงอีกต่อไป มิตรภาพระหว่างอินเดียนแดงและชาวอังกฤษจึงเริ่มถดถอยลง และจบที่การสร้างกำแพงเมืองป้องกันไม่ให้อินเดียนแดงบุกเข้ามายัง Deerfield ได้ง่าย ๆ

อย่างที่ทราบว่า Deerfield ตั้งอยู่สุดขอบชายแดนของ New England ทำให้นอกจากจะห่างไกลจุดศูนย์กลางแล้ว ยังเสี่ยงต่อการบุกรุกจากทั้งชนเผ่าอินเดียนแดงต่าง ๆ และจากกองทัพฝรั่งเศส ที่คอยจ้องจะเข้ามาบุกทำลายอยู่เรื่อย ๆ อีกด้วย ดินแดนอันงดงามไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้ จึงเป็นเป้าโจมตีมาโดยตลอด ว่ากันว่าแค่ออกจากกำแพงไปหาอาหาร ก็มีสิทธิ์โดนเอาขวานจามหัวได้ ชาวบ้านต้องพกปืนกลไฟติดตัวออกไปด้วยเสมอ

และในที่สุด Deerfield ก็แตกในฤดูหนาวปีค.ศ. 1704 ปีนั้นหิมะตกหนักมากเสียจนทับถมเป็นเนินสูง ทำให้ให้คนนอกกำแพงสามารถเดินบนหิมะข้ามกำแพงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย กองทัพฝรั่งเศสเห็นเช่นนั้น จึงจับมือกับชนเผ่าอินเดียนแดง บุกเข้ามาทำลายหมู่บ้าน Deerfield จนราบเป็นหน้ากลอง ชาวบ้านล้มตายไปราว 50 คน และจับลูกบ้านทั้งหมดที่เหลือร้อยกว่าชีวิตกลับไปยังแคนาดาอาณานิคมของฝรั่งเศสในยุคนั้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองร้างไปหลายปี

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้มาตั้งรกรากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาณาเขตของ New England แผ่ขยายออกไป มีชุมชุนที่ห่างไกลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้ Deerfield ไม่ได้เป็นชายแดนอีกต่อไป ผู้คนที่ฐานะดีขึ้น อุปกรณ์ดำรงค์ชีพดีขึ้น การป้องกันภัยดีขึ้น เริ่มอพยพกลับมาอยู่กันอีกครั้งอย่างมีความสุขจวบจนทุกวันนี้ วันที่เราขับรถจากบอสตันเพียง 2 ชม. บนไฮเวย์หมายเลข I-90 ก็ถึงได้ง่าย ๆ

ในปัจจุบัน Deerfield ยังคงสภาพไม่ต่างจากเมื่อราว 300 ก่อน จนได้รับการยกย่องให้เป็น Historical Site มีนักท่องเที่ยวมาเดินชมเมืองให้ได้เห็นเป็นประจำ บ้านเรือนและผังเมืองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญบ้านเก่า ๆ ได้รับการอนุรักษ์ให้ดูใหม่ไม่ต่างจากสมัยที่พระนารายน์ปกครองอาณาจักรอยุธยา บางหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ มีข้าวของเครื่องใช้โบราณจัดแสดงให้เห็นวิถีชีวิตสมัยก่อน บางหลังเป็นที่พักอาศัยของชาวเมือง Deerfield บางหลังเปิดเป็น AIR BnB ให้ท่านที่อยากพักในบ้านอายุสามศตวรรษได้มาเปลี่ยนบรรยากาศ

ผมเชื่อว่ายังไม่น่ามีคนไทยได้ไปเยือน Deerfield กันสักเท่าไหร่ เพราะถ้ามาเที่ยวอเมริกากันทั้งที คงเลือกไปยังที่ ๆ มีอะไรน่าตื่นเต้น หรือสถานที่เช็คอิน ที่เขาว่ากันว่าต้องไปกันก่อน หรือท่านที่มาตั้งรกรากที่อเมริกา ก็ไม่น่ามีธุระจะมาทำอะไรที่นี่

ส่วนผมบังเอิญว่ามีธุระสำคัญทำให้ต้องมาที่นี่ เลยได้มาสัมผัสกับอีกหนึ่งสเน่ห์ของ New England นับเป็นความงดงามของการเดินทาง ที่แม้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรแต่กลับอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก จึงขอพาท่านตระเวณ Deerfield ไปด้วยกัน ไม่แน่ถ้ามีโอกาสมาอเมริกา คุณอาจจะอยากมาที่นี่ด้วยก็ได้ โปรดติดตามตอนต่อ ๆ ไปครับ