บางอย่างในความรักของเรา (22) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

บางอย่างในความรักของเรา (22)

 

หลายปีถัดมา ผมยังจำความปวดร้าวของกระดูกข้อมือจากเหตุการณ์นั้นได้ มันเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง อาจเป็นเพราะการลงแรงอย่างสุดกำลัง หรืออาจเป็นเพราะการชกเพียงหมัดเดียวในครั้งนั้นที่ปิดฉากทุกความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปิ่นก็เหลือจะเดา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการชกคน เป็นการทำร้ายคนที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตผม

ชายหนุ่มคนที่มากับปิ่นกลิ้งหล่นลงจากเก้าอี้ที่เขานั่งราวกับผลไม้ที่ไหลลงไปตามสายพาน เขากลิ้งตัวลงไปที่พื้น ม้วนตัวด้วยความเจ็บปวด เขาเอามือคลึงเคล้นไปที่ใบหน้าในขณะที่ปิ่นร้องตะโกนด้วยความตกใจ มีเสียงอลหม่านจากด้านหลังของผม เสียงด่าทอผมจากพ่อของปิ่น เสียงตะโกนให้ผมหยุดมือหรือหยุดการกระทำจากบรรณาธิการของผม

ผมเดินย่างเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นแม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่คิดจะลงมืออะไรอีก แต่หากเขาลุกขึ้นสู้ ผมก็พร้อมจะตอบโต้เท่าที่จะกระทำได้ ขอบคุณวิชาหมัดมวยที่ผมเรียนรู้มาบ้างในวัยเด็ก ลุงของผมเคยเปิดค่ายมวยแถวสำโรงแม้จะในช่วงเวลาสั้นๆ แต่นั่นก็ทำให้ผมได้มีโอกาสลงนวม เรียนรู้การถอยหลบ การปัดป้องหรือแม้แต่การออกอาวุธเท่าที่จะเป็น

แต่จากสภาพของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความรู้ในเรื่องการต่อสู้เยี่ยงลูกผู้ชายเลย

เขาถอยหนีจากผมด้วยสีหน้าที่แสดงความหวาดกลัว ขาสองข้างของเขาพยายามดันร่างให้ห่างจากผม ก่อนที่จะใช้มือดันร่างตนเองขึ้นจากพื้น ผมไม่ได้ซ้ำเติมอะไรเขา นั่นเป็นเพราะบรรณาธิการของผมได้ใช้มือของเขาผลักหน้าอกผมให้ถอยห่างออกไป ในขณะที่พ่อของปิ่นพยุงชายหนุ่มคนนั้นให้ทรงกาย ริมฝีปากของเขามีเลือดไหลหยดลงมาเป็นทางเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวหรูหราราคาแพงของเขาจนแดงโชก

พ่อของปิ่นคำราม “ไอ้ลูกหมา นี่มึงกล้าดีอย่างไรถึงชกว่าที่ลูกเขยกู”

ผมหัวเราะอยู่ในใจ สภาพของอีกฝ่ายนั้นเป็นลูกหมามากกว่าผม แต่นั่นเองการลงมือทำร้ายอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่ทันระวังตัวก็หาได้ทำให้ผมกลายเป็นราชสีห์ไม่ ผมอาจไม่ใช่ลูกหมา แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูที่ทรงเกียรติ ผมถอยห่างจากสนามประลอง ยืนจ้องหน้าไปยังอีกฝ่าย

อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนที่ล้มลงไปกองราวกับเศษสวะไร้ค่าใดๆ

 

พนักงานของร้านกรูกันเข้ามากั้นระหว่างผมกับคู่กรณี ในตอนนั้นเองที่ผมเห็นปิ่นยืนอยู่เคียงข้างพ่อของเธอและชายหนุ่มผู้หมดสภาพคนนั้น เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับเลือดที่ซึมออกมาจากมุมปากของชายผู้นั้น นั่นยิ่งทำให้มือและหมัดของผมแข็งเกร็งไปด้วยความคั่งแค้น ผมอยากกระโจนเข้าไปหาเขาอีกครั้ง ฝากรอยแผลอีกแผลตรงไหนก็ได้ให้หนำใจ

แต่ฉากการต่อสู้นี้จบลงแล้ว เราทั้งคู่ถูกแยกออกจากกัน พนักงานของร้านดูจะทุกข์ร้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

พนักงานชายพากันยืนกั้นกลางระหว่างเรา ส่วนพนักงานหญิงลงมือเก็บกวาดเศษสิ่งของที่ไหลเลื่อนลงมาจากพื้นโต๊ะ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าการหล่นลงจากพื้นของคู่กรณีฉุดกระชากลากถูผ้าคลุมโต๊ะตามมาด้วยพร้อมกับจานอาหารหลายจาน

บรรณาธิการของผมโอบไหล่ผมกลับมายังที่นั่งของเรา ผมเทเหล้าปริมาณไม่น้อยลงแก้วของตนโดยปราศจากน้ำแข็งหรือสิ่งเจือปนใดๆ ผมกรอกเหล้าในแก้วนั้นลงคอ มันทำเอาลำคอผมร้อนวูบดังกับการต้องเปลวไฟ

ผมเสียวแปลบปลาบที่อก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหล้าหรือเป็นเพราะความเจ็บปวดที่ถูกแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตากันแน่ เหล้ามีคุณค่าตรงนี้เองที่ผมเริ่มประจักษ์ มันเป็นน้ำหล่อลื่นชนิดดีสำหรับความโกรธหรือความเจ็บปวดที่เกินบรรเทาด้วยวิธีอื่น มันทำให้เราโกรธมากขึ้น รังเกียจโลกนี้และบุคคลทั้งหลายมากขึ้น นอกจากนี้ มันยังทำให้เราทนทานต่อความเจ็บปวดได้ดีกว่าเดิม เราอาจร้องไห้ไม่ออกเพราะความปวดร้าวไหลเลื่อนมาฝังอยู่ด้านใน แต่เหล้าจุดประกายให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นได้แผ่ตนเองไปทุกทิศทุกทาง เป็นดังการระบายสิ่งที่สุมอยู่ภายในให้หายไปกับโลกภายนอกได้อย่างรวดเร็ว

เราทั้งคู่ ผมกับบรรณาธิการนั่งดื่มและกินกันต่อราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน แต่ดูเหมือนว่าชีวิตจริงไม่อนุญาตให้เราทำอะไรเช่นนั้น

ราวห้านาที พ่อของปิ่นปรากฏตัวขึ้นที่โต๊ะของเรา เขามาพร้อมกับพนักงานชายคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีอำนาจของร้านอาหารแห่งนี้ ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า เนื่องจากผมเป็นคนที่ก่อการทะเลาะวิวาทจนข้าวของหลายอย่างเสียหาย พ่อของปิ่นจึงจะขอให้เราจ่ายค่าอาหารของเขาแทน

แรกเริ่มผมคิดว่าเขาจะเรียกค่าทำขวัญพ่วงเติมมาด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันไม่มีข้อเรียกร้องเช่นนั้น ผมก็รู้สึกขบขำ งานเลี้ยงที่ผู้ว่าที่พ่อตาต้องการเลี้ยงรับขวัญผู้เป็นว่าที่ลูกเขย แต่แล้วเมื่อไม่เป็นไปตามแผนเขากลับร้องเรียกค่าเสียหายจากบุคคลอื่น ไหนเล่า มหาเศรษฐีผู้มั่งมีและอุดมไปด้วยเกียรติ ผมนึกแค่นในใจ แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นเผชิญหน้าเขา บรรณาธิการของผมก็ยกมือเรียกพนักงานคนนั้น เขาสนทนากับพนักงานผู้นั้นอยู่สองสามคำก่อนจะเปิดกระเป๋าธนบัตรแต่ช้ากว่าผม ผมหยิบเงินทั้งหมดที่เป็นเงินได้ล่วงหน้าจากการแปลหนังสือออกจากกระเป๋าเสื้อและยัดมันลงในมือของพนักงานคนนั้น

หลังจากนั้นผมลุกออกจากโต๊ะ เดินออกจากร้านไปพร้อมกับความรู้สึกว่างเปล่า

ผมปราศจากทั้งเงิน ทั้งคนรัก ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งหมดนี้สูญสลายไปในวันเดียวกัน ในเวลาไม่เพียงกี่ชั่วโมง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจใดเลย ผมรู้สึกปลอดโปร่งอย่างยิ่ง

ปลอดโปร่งราวกับทารกคนหนึ่งที่เพิ่งเกิดมาบนโลกโดยปราศจากความกังวลใดๆ

 

ผมเก็บตัวอยู่ในห้องแทบจะตลอดเวลาหลังจากวันนั้น โดยอุทิศเวลาให้กับการแปลหนังสือ Poland อย่างบ้าคลั่ง ผมตื่นขึ้นแต่เช้า ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย ก่อนจะชงกาแฟสำเร็จรูปหนึ่งแก้วแล้วเริ่มต้นทำงาน ผมนั่งทำงานพร้อมกับบุหรี่หนึ่งซองและกาแฟหนึ่งแก้ว เมื่อกาแฟในแก้วหมด ผมก็จะลุกขึ้นไปชงกาแฟแก้วใหม่ ผมตั้งกาน้ำร้อนไว้บนเตาไฟฟ้าที่ทำขึ้นจากขดลวด เป็นเตาไฟฟ้าที่เมื่อเสียบเข้ากับเต้าไฟฟ้า ขดลวดจะเป็นสีส้มแดงที่แสดงถึงความร้อนจัด กาน้ำร้อนจะส่งควันไอในไม่ช้า

ผมดื่มกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่าจนถึงเวลาเที่ยงที่ผมจะพักการทำงาน ณ ตอนนั้นผมจะใช้คลิปหนีบกระดาษหนีบต้นฉบับงานแปลให้เข้าที่เข้าทาง ผมใช้เวลาแปลหนึ่งชั่วโมงต่อสองหน้าซึ่งเป็นอัตราการทำงานด้านการแปลที่น่าพอใจ ในหนึ่งวันผมจะทำงานได้หกชั่วโมง ซึ่งหมายถึงจำนวนหน้าถึงสิบสองหน้า

ด้วยอัตราการทำงานเช่นนี้ ผมจะแปลหนังสือเล่มหนานี้จบได้ภายในเวลาเพียงสองเดือน

ความมุมานะเช่นนี้เกิดขึ้นจากการยอมรับความจริงว่าผมไม่มีสิ่งใดที่ต้องคาดหวังอีกแล้วนอกจากการงาน

ปิ่นกลายเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผมพยายามจะลืม ผมไม่มีปัจจุบันเพราะผมสนใจการเข้าห้องเรียนน้อยลงเต็มที การจบสิ้นวิชาเรียนกับอาจารย์นพพรทำให้ผมไม่รู้สึกว่ามันมีสิ่งใดน่าสนใจในห้องบรรยายเหล่านั้น

ผมเหลือเพียงอนาคตที่ต้องไขว่คว้าและอนาคตเดียวที่ผมจะไขว่คว้าได้อยู่ที่งานแปลเบื้องหน้าเท่านั้นเอง

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมนำต้นฉบับเกือบแปดสิบหน้าไปส่งให้บรรณาธิการ ในวันนั้นเราแทบไม่มีคำพูดหรือบทสนทนาใดๆ บรรณาธิการของผมดูวุ่นวายกับงานบนโต๊ะ เขารับต้นฉบับจากผม พลิกดูเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “ทำงานเร็วดี ไม่นานเราคงได้เห็นหนังสือเป็นรูปเล่ม” ก่อนที่เขาจะง่วนกับงานตรงหน้าต่อไป

ผมรู้สึกได้ว่าเขามีบางอย่างจะพูดคุยกับผม เพียงแต่วันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่เหมาะสม ผมไหว้ลาเขา เดินลงจากสำนักงาน และเมื่อไม่มีสถานที่อื่นใดที่จะให้ผมไปในวันนั้น ผมก็ตัดสินใจกลับไปที่มหาวิทยาลัย

ที่มหาวิทยาลัยทุกอย่างยังคงแลดูเหมือนเดิม ผู้คนทั้งหลายที่นั่นยังคงความแปลกหน้ากับผม สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นยังคงแปลกหน้ากับผม แม้หอสมุดที่ผมคุ้นเคย ผมก็หาได้มีความต้องการที่จะย่างกรายเข้าไปไม่ ผมแวะที่โรงอาหารคณะเศรษฐศาสตร์ กินกาแฟหนึ่งแก้ว แต่ในครานี้มันมีรสปร่าหาได้เข้มข้นดังเคย ผมจ้องดูสายน้ำเจ้าพระยาอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่มีความคิดใดผุดขึ้นมา ในที่สุดผมตัดสินใจเดินเข้าไปที่คณะของตน หมายใจจะเจอใครสักคนที่รู้จัก แต่ไม่มี

สิ่งที่ผมพบตรงป้ายประกาศหน้าคณะคือชื่อของตนเอง มีประกาศแจ้งให้ผมพบอาจารย์ที่ปรึกษาโดยด่วน

เส้นปากกาสีแดงที่ขีดไว้ใต้ชื่อของผมบนกระดาษขนาดเอสี่บ่งบอกถึงเรื่องร้ายบางประการที่ผมรู้สึกได้นับตั้งแต่แรกเห็น •