มะเขือเทศ 5.0 วิตามินดีสูง ลดเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก | จักรกฤษณ์ สิริรินทร์

ขออนุญาตเกริ่นนำบทความด้วยประสบการณ์ส่วนตัวเล็กน้อยครับ

เนื่องจากคุณพ่อตาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ได้รับการผ่าตัดจนหายดี ทว่า ต้องคอยตรวจหาค่า PSA (Prostate-Specific Antigen)

PSA เป็นโปรตีนที่สร้างมาจากต่อมลูกหมาก

ปกติแล้ว ค่า PSA ควรอยู่ในช่วง 4 ถึง 10 ng/mL แต่หากค่า PSA สูงกว่านี้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

บางช่วงที่เข้ารับการตรวจหลังผ่าตัด ปรากฏค่า PSA สูง

คุณหมอที่ Follow มะเร็งต่อมลูกหมากของท่านพ่อตาจึงแนะนำให้ดื่มน้ำมะเขือเทศวันละ 2 กล่อง (กล่องเล็ก) ค่า PSA ก็ไม่ขึ้นสูงอีก

ผมจึงขอใช้สูตรนี้บ้าง หลังประสบอาการปัสสาวะไม่พุ่งเหมือนตอนยังหนุ่มแน่นกว่านี้

ซึ่งหลังจากดื่มน้ำมะเขือเทศติดต่อกันหลายสัปดาห์ ก็ปัสสาวะดีขึ้น จนรู้สึกได้ว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะเป็นปกติ

ยิ่งได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของน้ำมะเขือเทศเพิ่มเติม จากที่หลายท่านอาจทราบดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มั่นใจ ว่าน้ำมะเขือเทศมีคุณประโยชน์จริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นๆ อย่างการช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไปจนถึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเขือเทศ หรือ Tomato ในภาษาอังกฤษ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicon Esculentum Mill เป็นพืชล้มลุก มีอายุเฉลี่ย 1 ปี

ลูกมะเขือเทศเป็นผลเดี่ยว มีสีสันต่างกันไปตามสายพันธุ์ ขนาดประมาณ 3 เซนติเมตรไปจนถึง 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี

ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม และสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำรสเปรี้ยว เมล็ดนิ่ม และมีเมล็ดมาก

มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่า การบริโภคมะเขือเทศ และน้ำมะเขือเทศ ในปริมาณ 10 ผลต่อสัปดาห์ จะช่วยสร้างเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริโภคมะเขือเทศ และน้ำมะเขือเทศ ส่งผลดีต่อสุขภาพของผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน

เนื่องจากมะเขือเทศมี Lycopene, ?-carotene และ Phosphorus ในปริมาณมาก และมีวิตามินเอซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ น้ำมะเขือเทศยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย และเสริมคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลด และชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยรักษาสิว ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้า หรือฝานบางๆ แล้วนำมาแปะบนใบหน้าก็จะช่วยทำให้ผิวหน้าเต่งตึงสดใส

และหากนำซอสมะเขือเทศมาหมักผม ก็จะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีน

 

นอกจากช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว สรรพคุณอื่นๆ ของมะเขือเทศยังมีอีกมากมาย

ไม่ว่าจะเป็น การช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45% และป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

หรือจะเป็นระบบหมุนเวียนโลหิต เช่น รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ที่นำไปสู่ภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

หรือจะเป็นระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย อาทิ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือเชื้อราที่ปาก ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเขือเทศมีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% หากรับประทานเป็นประจำ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ในเพศหญิง

นอกจากนี้ ซอสมะเขือเทศยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการหกล้ม หรือถูกมีดบาดได้อีกด้วย

 

ล่าสุด มีการค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้าง “มะเขือเทศพันธุ์ใหม่” ที่อุดมด้วย “วิตามินดี”

ผ่านกรรมวิธีตัดต่อพันธุกรรม ให้ “มะเขือเทศ” เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย “วิตามินดี” ที่มาจากพืชผักผลไม้ เพื่อเป็นทางเลือกเสริม “วิตามินดีจากธรรมชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์

Jie Li หัวหน้าทีมวิจัยของ John Innes Centre ในเมืองนอริช ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า Two Medium-Sized Tomatoes a Day Could Keep the Doctor Away

แปลเร็วๆ ได้ว่า “การรับประทานมะเขือเทศผลขนาดกลาง วันละ 2 ลูก จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดี”

“ทีมนักวิจัย ได้ทำการแก้ไขลักษณะทางพันธุกรรมของมะเขือเทศ ให้อุดมไปด้วยวิตามินดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมสารอาหารต่างๆ เช่น แคลเซียม ที่มีความจำเป็นต่อกระดูก เส้นเอ็น ฟัน เส้นผม เล็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อที่แข็งแรง” Jie Li กระชุ่น

แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า “วิตามินดี” สามารถสร้างขึ้นเองได้ในร่างกายของเรา หลังจากได้รับแสงแดด ทว่า “แหล่งวิตามินดีหลัก” คือ “อาหาร” ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ Jie Li กล่าว และว่า

“การมีระดับวิตามินดีต่ำ จะสัมพันธ์กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มากมาย ไล่ตั้งแต่โรคมะเร็ง ไปจนถึงโรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนราว 1 พันล้านคนทั่วโลก”

นอกจากผลมะเขือเทศ ใบของมะเขือเทศ มี 7-DHC ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ “วิตามินดี 3” ซึ่ง “วิตามินดี 3” ถือว่าเป็นสารอาหารดีที่สุดในการเพิ่มระดับ “วิตามินดี” ในร่างกายของเรา Jie Li สรุป

 

สําหรับโครงการดังกล่าว ทีมนักวิจัยได้ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Crispr ซึ่งออกแบบมาให้มีลักษณะเหมือนกรรไกรตัดแต่งพันธุกรรม เพื่อปรับแต่งจีโนมของมะเขือเทศ ให้มีการสะสมของสาร 7-DHC ในผลมะเขือเทศ และใบ

“เมื่อใบ และผลมะเขือเทศที่หั่นบางๆ ได้รับแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลา 1 ชั่วโมง มะเขือเทศ 1 ลูก จะมีระดับวิตามินดีเทียบเท่ากับไข่ขนาดกลาง 2 ฟอง หรือปลาทูน่า 28 กรัมเลยทีเดียว” Jie Li กล่าว และว่า

โดยทั่วไป “อาหารเสริมวิตามินดี 3” ส่วนใหญ่ผลิตจาก “ลาโนลิน” ซึ่งสกัดจาก “ขนแกะ” ซึ่งวิธีเสริมวิตามินแบบนี้เหมาะสำหรับชาว “มังสวิรัติ” แต่ไม่เหมาะสำหรับสาย “วีแกน” ซึ่งไม่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์เลย

“ทีมนักวิจัยเชื่อว่า การรับประทานมะเขือเทศที่ได้รับการตัดต่อยีนนี้ จำนวน 2 ลูกต่อวัน ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แม้การแยกมะเขือเทศที่ตัดแต่งยีน ออกจากมะเขือเทศตามธรรมชาติ จะเป็นเรื่องยากในปัจจุบันก็ตาม เพราะมะเขือเทศตัดต่อยีนมีรสชาติเหมือนกับมะเขือเทศทั่วๆ ไปนั่นเอง”

ทั้งนี้ กฎระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ ในอังกฤษที่เพิ่งออกมา ได้เปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถประเมินทฤษฎีนี้ได้ แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะ ก่อนที่จะพร้อมวางจำหน่ายมะเขือเทศตัดต่อยีนตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

“ขณะนี้ทีมนักวิจัยกำลังวางแผนเพื่อประเมินกันต่อไปว่า แสงแดดธรรมชาติสามารถเปลี่ยน 7-DHC ให้เป็นวิตามินดี 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดแทนการใช้แสงอัลตราไวโอเลตได้หรือไม่” Jie Li ทิ้งท้าย