โจขาเมฬา : นักบุญนอกวรรณะผู้อยู่ในหัวใจของพระเจ้า / ผี พราหมณ์ พุทธ : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

ผี พราหมณ์ พุทธ

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

 

โจขาเมฬา

: นักบุญนอกวรรณะผู้อยู่ในหัวใจของพระเจ้า

 

ชาววารกรีไม่ได้ต้องการพิธีบูชาจากพราหมณ์ ในฐานะสื่อกลางระหว่างพวกเขากับพระเจ้า สื่อกลางที่สำคัญที่สุดระหว่างพวกเขากับพระเจ้าคือการขับร้องกวีนิพนธ์ของบรรดานักบุญต่างๆ ซึ่งทุกๆ คนก็สามารถเข้าถึงได้ แม้หากไม่รู้หนังสือก็จดจำเอา

ด้วยเหตุนี้ในทัศนะชาววารกรี พราหมณ์จึงไม่ได้มีสถานภาพพิเศษทางจิตวิญญาณมากกว่าใคร มิหนำซ้ำยังอาจกลายเป็นตัวร้ายที่อ้างความบริสุทธิ์หรือความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นอภิสิทธิ์ที่ใช้กดขี่คนอื่นด้วย

ชีวิตของนักบุญโจขาเมฬา (Chokhamela) หรือโจขา เป็นตัวอย่างหนึ่งของการโดนกดขี่ด้วยระบบวรรณะ แม้ท่านอาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับนักบุญอื่นๆ หรือทัศนะบางประการของท่านก็ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ เช่น ท่านเชื่อว่าการที่ตนเองต้องเกิดเป็นคนนอกวรรณะ (ซึ่งคนไทยมักเรียกว่าจัณฑาล) ก็เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติ กระนั้นโจขาเมฬาก็เป็นนักบุญที่บันดาลใจผู้คนจำนวนมาก

แม้ชีวิตของโจขาเมฬาจะดูเหมือนนิยายมากกว่าเรื่องจริง (ตามขนบตำนานนักบุญ) แต่หากเป็นเรื่องแต่ง ผมก็ต้องชื่นชมว่าคนแต่งช่างแต่งได้มหัศจรรย์ลึกซึ้ง

 

โจขามีชีวิตในคริสตศตวรรษที่สิบสาม (บ้างก็ว่าสิบสี่) ร่วมสมัยกับนักบุญนามเทพและนับถือนักบุญนามเทพเป็นคุรุ ท่านเกิดในชาติ (ระบบที่แบ่งคนด้วยการเกิด หรืออนุวรรณะ) “มหาร” (mahar) ถือเป็นพวกนอกวรรณะ ซึ่งในปัจจุบันเรียกรวมๆ ว่า ทลิต (dalit)

ภรรยาของโจขาเมฬาชื่อ โสยาระพาอี ท่านมีน้องสาวชื่อนิรมล มีบุตรชื่อกรรมะเมฬา แม้จะเป็นคนนอกวรรณะ แต่สมาชิกทั้งหมดของครอบครัวนี้ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญ อีกทั้งน้องสาว น้องเขยและบุตรชายต่างก็เป็นกวีมีชื่อ

บุตรของท่านดูเหมือนจะต่อต้านระบบวรรณะยิ่งกว่าโจขาเมฬาเสียอีก ดังปรากฏข้อความที่มีชื่อเสียงว่า “ทุกคนล้วนมีโลหิตแดง เหตุไฉนจึงมีการแบ่งแยกโดยวรรณะในโลกนี้” และ “ในสายพระเนตรของพระเจ้า สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้พึงให้ความเคารพแก่ทุกผู้คน”

โจขามีอาชีพเป็นคนเฝ้าสวน วันหนึ่งท่านติดตามนามเทพซึ่งกำลังชวนประชาชนขับร้องสรรเสริญพระเจ้า ไปยังวิหารพระวิโฐพา ทว่า ท่านถูกพราหมณ์ห้ามไม่ให้เข้าในวิหารโดยอ้างว่า คนนอกวรรณะจะทำให้พระเทวรูปแปดเปื้อน

โจขาเมฬาจำต้องกลับบ้านพร้อมภรรยา ท่านชวนให้ภรรยาขับร้องสรรเสริญพระวิโฐพาที่บ้านแทน แต่ไม่นานนัก ผู้คนที่ได้ยินเสียงขับร้องพากันมาเย้ยหยันว่า โจขาไม่ใช่ผู้ภักดีที่แท้จริง พระเจ้าจึงไม่ยอมให้ “ทรรศนะ” หรือให้ทอดทัศนาแลเห็น

โสยาระพาอีโศกเศร้าอย่างมาก เธอตั้งคำถามว่าเหตุไฉนพระเป็นเจ้าผู้สร้างเรามาเอง จึงไม่ยอมให้เราได้พบพระองค์ โจขาเมฬาได้แต่เงียบงันและหลับไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง

 

คืนนั้นพระวิโฐพาทนเห็นสาวกผู้ภักดีโศกเศร้าไม่ไหว ท่านจึงออกจากแท่นในวิหารมายังบ้านของโจขาเมฬา แม้จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ทั้งคู่ก็ถวายอาหารดีที่สุดเท่าที่มีแก่พระเจ้าที่พวกเขารัก แม้จะเป็นอาหารหยาบๆ แต่พระองค์ก็เสวยด้วยความพอพระทัย แล้วทรงจูงมือโจขาเมฬาพร้อมตรัสว่า คืนนี้จะพาโจขาเมฬาไปยังวิหาร แม้โจขาเมฬาจะปฏิเสธด้วยความกลัวว่าจะถูกสังคมลงโทษเพียงใดก็ตาม

เมื่อถึงวิหารแล้ว พระองค์โปรดให้โจขาเมฬาได้เข้าไปยังวิหารชั้นในแม้ประตูจะปิดอยู่ โจขาได้ทอดทัศนารูปของพระองค์อย่างเต็มที่ พระวิโฐพายังทรงมอบสร้อยเส้นหนึ่งให้กับท่านด้วย

ไม่นานนัก พราหมณ์ก็เข้ามาเพื่อจะทำพิธีอารตี พวกพราหมณ์ตกใจและโกรธเป็นอันมากเมื่อพบคนนอกวรรณะกำลังยืนในครรภคฤหะ (วิหารชั้นใน) แถมยังสวมสายสร้อยจากเทวรูปอีก ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์จึงไปขอให้ทางการลงโทษ

โจขาถูกทุบตีและถูกไล่ออกไปให้อยู่ไกลจากวิหารของพระวิโฐพา ท่านบันทึกเรื่องนี้ไว้ในบทกวีว่า

“เดินไวหน่อยเถิดพระวิโฐพา พวกพราหมณ์กำลังไล่ทุบตีข้าน้อย ด้วยอาชญากรรมใดหรือที่ก่อ “ไฉนสร้อยพระศอเทวรูปจึงไปอยู่บนคอเจ้า?” พวกเขาสาปส่ง เรียกตัวข้าว่าไอ้มหาร แกทำให้พระเป็นเจ้ามีมลทิน”

ไม่มีใครเชื่อว่า พระเป็นเจ้าทรงนำโจขาเมฬาเข้าไปในพระวิหารด้วยพระองค์เอง คนเหล่านี้ตั้งคำถามว่า เหตุใดพระเจ้าถึงทรงโปรดคนชั้นต่ำ ทั้งที่พวกพราหมณ์ปรนนิบัติพระองค์ด้วยดีมาตลอด กระนั้นพระเจ้าก็ยังไม่เคยปรากฏให้เห็นสักครั้ง

 

ศรัทธาของโจขาเมฬาไม่ลดน้อยถอยลงก็จริง แต่การโดนทำร้ายและถูกเหยียดหยามก็ทำให้ท่านรู้สึกหม่นหมอง วันหนึ่งโจขาเมฬานั่งกินอาหารกับภรรยาใต้ร่มไม้ พระวิโฐพาผู้คิดถึงสาวกจึงออกจากวิหารมาร่วมกินอาหารกับสองผัวเมีย

ภรรยาของโจขาเมฬาทำโยเกิร์ตตกเปื้อนผ้านุ่ง (โธตี) ของพระวิโฐพาเจ้าเพราะเธอตื่นเต้น ในขณะที่ทุกคนยังกินอาหารไม่เสร็จ พราหมณ์แห่งวิหารพระวิโฐพาเผอิญเดินผ่านที่นั่น จะด้วยความเกลียดชังหรืออะไรก็ตาม พราหมณ์คนนั้นไม่สามารถมองเห็นพระวิโฐพาได้ และตรงเข้าไปตบหน้าโจขาเมฬาทันที

เมื่อทำร้ายสาวกของพระเจ้าอย่างไร้เหตุผลแล้ว พราหมณ์ผู้นั้นเดินดิ่งไปยังท่าน้ำ ทำพิธีชำระกายด้วยความรังเกียจว่าตนไปสัมผัสคนนอกวรรณะ

จากนั้นเขากลับไปยังวิหารเพื่อทำหน้าที่ประจำวัน แต่พบว่าใบหน้าของเทวรูปพระวิโฐพาเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ซ้ำยังมีรอยฝ่ามืออยู่บนแก้มในตำแหน่งเดียวกับที่เขาเพิ่งตบหน้าโจขาเมฬา อีกทั้งเห็นรอยเปื้อนโยเกิร์ตอยู่บนผ้านุ่งของเทวรูปด้วย เขารู้ได้ทันทีว่าตนทำผิดพลาดไปอย่างมหันต์เสียแล้ว

พราหมณ์ผู้นั้นรีบวิ่งกลับไปก้มกราบขอโทษโจขาเมฬา ทั้งยังขอให้เขาช่วยทำให้เทวรูปกลับเป็นเหมือนเดิม โจขาเมฬาได้แต่งบทกวีอ้อนวอนพระเป็นเจ้าในทำนองว่า โปรดเห็นพระองค์เองเป็นแม่ และไม่เหนื่อยหน่ายกับการให้อภัยลูกๆ ที่มักทำผิดพลาดอยู่เสมอ

ไม่นานใบหน้าของเทวรูปพระวิโฐพาก็กลับเป็นดังเดิม

 

หลายปีผ่านไป โจขาเมฬายังคงใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก วันหนึ่งนักบุญนามเทพเห็นเทวรูปพระวิโฐพาร้องไห้ ท่านจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระวิโฐพาตอบว่าเพราะวันนี้สาวกที่ท่านรักได้ตายจากไปแล้ว โจขาเมฬาตายจากอุบัติเหตุอาคารถล่ม เขาและคนงานอีกจำนวนหนึ่งเสียชีวิตไปพร้อมกัน

นักบุญนามเทพนึกสงสัยว่า ก็ในเมื่อสาวกย่อมจะไปสถิตกับพระเจ้าในไวกูณฑ์โลก ทำไมพระวิโฐพาจึงต้องร้องไห้ พระเจ้าของผู้ภักดีตรัสตอบว่า เพราะโจขาเมฬาตั้งความปรารถนาไว้ว่า เขาอยากจะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเสมอ หากเขาตายลงวันใด เขาปรารถนาให้อัฐิถูกฝังไว้ใกล้วิหารของพระองค์ แต่ความปรารถนานี้ก็ยังไม่บรรลุผล

นามเทพอาสาจะช่วย ทว่า คนงานที่ตายในวันนั้นมีจำนวนมากและศพทั้งหมดได้ถูกเผาอย่างอนาถาไปพร้อมกันแล้ว นามเทพถามพระวิโฐพาว่า ท่านจะสามารถแยกได้อย่างไรว่าอันไหนคืออัฐิของโจขาเมฬา พระเป็นเจ้าตอบว่า สาวกผู้นี้รักพระองค์มาก ดังนั้น แม้แต่กระดูกของเขาจะกล่าวสรรเสริญพระนามของพระองค์ตลอดเวลา

นักบุญนามเทพจึงไปยังที่เผาศพ หยิบกระดูกชิ้นแล้วชิ้นเล่าขึ้นแนบหู มีเพียงกองเดียวที่กระดูกแต่ละชิ้นส่งเสียงแผ่วเบาว่า “หริ หริ วิฐฐลา!” นามเทพรวบรวมกระดูกทั้งหมด และฝังไว้หน้าทางขึ้นของวิหารพระวิโฐพา

ทุกวันนี้ใครก็ตามที่ไปเยือนวิหารของพระวิโฐพาแห่งนครปัณฑรปุระ ก็จะได้เห็นอนุสาวรีย์เล็กๆ ของนักบุญโจขาเมฬา สาวกที่พระเจ้ารักอยู่หน้าทางเข้าประตูใหญ่ตามความปรารถนาของท่าน

 

ผมขอจบเรื่องราวของโจขาเมฬาด้วยบทกวีของท่านว่า

“พวกเขาเข้าไปหาพระองค์ ยาวนานเหลือเกิน

พระองค์ทรงเห็นทั้งหมด ทั้งการละเมิด การกระทำผิด

ขอทรงสำรองความสงสารไว้ให้ข้าสักนิดเถิด

-ข้าเป็นเพียงคนนอกวรรณะต่ำต้อยเลวทราม

โปรดเมตตาด้วยเถิด พระเป็นเจ้า

เพราะข้ามิได้เรียกร้องสิ่งใด เว้นแต่พระองค์จะมอบให้

โจขากล่าว ข้าเป็นแค่คนโง่เง่าไม่รู้อะไรเลย

มีชีวิตอยู่ได้ ด้วยพลัง

จากนามของพระองค์” •