ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์ตั้งแต่แอปเปิ้ลจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว iPhone ใหม่
ซึ่งคราวนี้ไม่ได้เปิดมาแค่รุ่นหรือสองรุ่น แต่กลับออกมาทีเดียวพร้อมๆ กันสามรุ่น
แถมรุ่นที่สามกลับเป็นรุ่นที่ฉกชิงความสนใจของคนทั่วโลกไปทั้งหมด
เพราะแอปเปิ้ลเพิ่งจะเปิดตัว iPhone 8 และ 8 Plus เสร็จไปหยกๆ จู่ๆ ก็ต่อด้วยวลียอดฮิตอย่าง One more thing… หรือยังมีอีกอย่างนะ ที่มักจะกั๊กเอาของดีไว้ตอนจบ
แล้วก็เปิดตัว iPhone X ตามความคาดการณ์และตามข่าวลือที่กระหน่ำหลุดออกมาตั้งแต่ก่อนงานเปิดตัว
เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาคุยกันถึงรายละเอียดต่างๆ เพื่อเป็นการตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ iPhone รุ่นนี้กันดีกว่าค่ะ
iPhone X อ่านว่าอะไร?
แน่นอนว่าเห็นตัวอักษร X ปฏิกิริยาแรกของคนส่วนใหญ่ก็คืออ่านมันว่า เอ็กซ์ ใช่ไหมล่ะคะ บนเวทีแอปเปิ้ลเรียกชื่อรุ่นนี้ให้เราฟังกันชัดๆ ว่า “ไอโฟน เท็น”
หรือแปลเป็นไทยก็คือ ไอโฟน สิบ นั่นเอง
ซึ่งไม่ต้องสงสัยนะคะว่าไอโฟน เก้า หายไปไหน เพราะว่าตัวนี้น่าจะมาจากการฉลองครบรอบสิบปีไอโฟนนั่นเอง
ส่วนหลังจากนี้พอรุ่นต่อไปออกมา แอปเปิ้ลจะยังเรียกมันว่าไอโฟนเก้าหรือไม่ และหลังจากเก้าแล้วจะยังไงต่อเพราะชื่อสิบก็หยิบไปใช้แล้ว
อันนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันค่ะ
แต่ที่แน่ๆ ถึงแม้ว่าแอปเปิ้ลจะออกมากำหนดคำเรียกแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยทั่วโลกจะยังคงเรียกไอโฟนรุ่นนี้ว่าไอโฟนเอ็กซ์เพราะความคุ้นเคย คล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการ Mac OS X ที่แอปเปิ้ลอ่านว่า แม็ก โอเอส เท็น
แต่คนทั่วโลกก็ยืนยันจะอ่านมันว่า แม็ก โอเอส เอ็กซ์ อยู่ดี
แต่ด้วยราคาที่เปิดตัวมาสูงลิ่วที่ 999 ดอลลาร์ในรุ่นความจุขั้นต่ำสุด ก็ทำให้ iPhone X ถูกแซวไปว่าเป็น iPhone eXpensive ไปเสียอย่างนั้น
Face ID คืออะไร?
ผู้ใช้ iPhone คุ้นเคยกับการปลดล็อกโทรศัพท์ของตัวเองด้วยการสแกนลายนิ้วมือ หรือฟีเจอร์ที่เรียกว่า Touch ID กันเป็นอย่างดี
แต่สำหรับ iPhone X รุ่นนี้ จะไม่ได้มาพร้อมปุ่มโฮม ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือด้วย
นั่นหมายความว่าการจะปลดล็อก iPhone X ได้นั้น นอกจากจะใช้วิธีป้อนรหัสพาสโค้ดตามปกติแล้ว ผู้ใช้ก็สามารถสแกนใบหน้าตัวเองด้วยฟีเจอร์ Face ID ได้ เพียงแค่ยกโทรศัพท์ขึ้นมา มันก็จะจดจำใบหน้าของเราที่เราเคยตั้งค่าเอาไว้ได้ และจะปลดล็อกให้ทันที
ฟีเจอร์การสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกเครื่องมีมาแล้วในโทรศัพท์รุ่นอื่นๆ แต่เมื่อแอปเปิ้ลซึ่งเป็นแบรนด์ที่คนทั่วโลกจับตามองหยิบมาใส่ไว้ใน iPhone บ้าง ก็ก่อให้เกิดกระแสความสนใจกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
นำมาซึ่งคำถามมากมายเกี่ยวกับ Face ID อย่างเช่น
Face ID ทำงานอย่างไร?
Face ID ใช้เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Dot Projector คือการฉายจุดอินฟาเรดกว่าสามหมื่นจุดลงบนใบหน้าผู้ใช้เพื่อสร้างโครงหน้าเป็นสามมิติ
แสงอินฟราเรดที่มองไม่เห็นจะช่วยให้โทรศัพท์สามารถจดจำใบหน้าเราได้แม้จะอยู่ในที่มืด
แต่งหน้า ลบเมกอัพ ไว้หนวดเครา สวมแว่น ทำศัลยกรรม Face ID จะยังจำใบหน้าเราได้ไหม?
ด้วยความที่ฟีเจอร์นี้ใช้สแกนเนอร์กว่าสามหมื่นจุดและไม่ได้จับรายละเอียดผิวเผินอย่างเครื่องสำอาง หนวดเครา หรือแม้กระทั่งแว่นบนใบหน้า ดังนั้น Face ID จะยังคงทำงานได้ตามปกติ
และแอปเปิ้ลบอกว่ายิ่งใช้งานไปเรื่อยๆ ระบบก็จะยิ่งปรับเข้ากับใบหน้าของเราที่เปลี่ยนไปตามระยะเวลา ทำให้มันเรียนรู้ใบหน้าของเราตลอดเวลาไม่ว่าเราจะน้ำหนักลดหรือเพิ่ม
แต่ในกรณีของการทำศัลยกรรม หรืออุบัติเหตุใดที่ทำให้ใบหน้าผิดรูปหรือเสียโฉม ผู้ใช้สามารถสแกนใบหน้าใหม่เพื่อให้ระบบจดจำโครงหน้าที่เปลี่ยนไปได้
และในกรณีฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันเด๊ะๆ เนี่ยไม่ต้องห่วงนะคะ ปลดล็อกแทนกันได้เลย แอปเปิ้ลเขาบอกไว้ตั้งแต่บนเวทีแล้ว
ถ้าใช้ iPhone X แล้วหลับไป
แฟนจะยกโทรศัพท์มาปลดล็อกได้หรือไม่?
ไม่ได้ค่ะ แอปเปิ้ลครอบคลุมเรื่องนี้ไว้แล้วว่าการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้า จะต้องมี “ความตั้งใจ” ในการปลดล็อกของเจ้าของเครื่องด้วย
นั่นก็หมายความว่าเจ้าของเครื่องจะต้องมองไปที่โทรศัพท์เพื่อให้ตั้งใจสแกนใบหน้า
ถ้าหลับตา หรือมองไปทางอื่น มันก็จะไม่ปลดล็อกให้เพราะถือว่าไม่ได้ตั้งใจ
แต่กรณีที่นอนหลับลึก หรือเมาหลับไปแล้วมีใครมาเบิ่งตาให้มองกล้องจะปลดล็อกได้มั้ยนั้นก็จะต้องรอทดสอบกันลึกๆ กว่านี้หลังจากเริ่มวางขายนั่นแหละค่ะ
ปริ๊นต์ภาพเจ้าของเครื่องมาจ่อไว้ล่ะ?
ไม่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะภาพไม่ได้เป็นสามมิติ แต่รับรองว่าออกวางขายปุ๊บ จะต้องมีคนพยายามใช้เครื่องปริ๊นต์สามมิติแล้วปริ๊นต์ศีรษะออกมาเพื่อลองของแน่ๆ ดูเหมือนกับว่าแอปเปิ้ลจะมั่นใจว่าจะใช้วิธีนี้ปลดล็อกไม่ได้
แต่ก็รอดูกันค่ะ
ความปลอดภัยของ Face ID ล่ะ?
แอปเปิ้ลให้สถิติไว้บนเวทีว่า Touch ID ที่ใช้ลายนิ้วมือนั้นมีโอกาสที่จะปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือคนอื่นอยู่ที่ 1 ใน 50,000 ในขณะที่หากใช้ใบหน้ากับ Face ID โอกาสจะกลายเป็น 1 ใน 1,000,000 ทันที ซึ่งหากดูจากสถิตินี้แล้ว การใช้ใบหน้าจะปลอดภัยกว่าการใช้ลายนิ้วมือ (แต่หากคุณผู้อ่านมีฝาแฝดที่ไม่ไว้วางใจกัน การใช้ Face ID จะเสี่ยงมากๆ ทันที)
อย่างไรก็ตาม ก็มีการถกเถียงกันว่าการใช้วิธีทางชีวภาพในการปลดล็อกโทรศัพท์นั้นก็ก่อให้เกิดช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยไม่น้อยเหมือนกัน
ใบหน้าเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลบซ่อนได้ง่ายๆ แม้กระทั่งลายนิ้วมือก็ยังต้องมีการรณรงค์กันว่าไม่ควรถ่ายภาพชูนิ้วแล้วโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียเนื่องจากผู้ไม่ประสงค์ดีอาจนำมาใช้ในการจำลองลายนิ้วมือและปลดล็อกได้
ใบหน้าก็เช่นกัน ในกรณีที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ถูกบังคับให้ปลดล็อกด้วยการใช้ลายนิ้วมือหรือใบหน้าโดยไม่เต็มใจนั้นย่อมขัดขืนยากกว่ารหัสผ่านที่เราเก็บไว้เป็นความลับ
อีกอย่างหนึ่ง รหัสผ่านเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนกี่ครั้งก็ได้ แต่ใบหน้าของเราก็จะยังคงเป็นใบหน้าเดิมอยู่เสมอ
ดังนั้น Face ID จึงควรจะถูกมองเป็นฟีเจอร์ที่ใช้เพื่อความสะดวกในการปลดล็อกเครื่องอย่างรวดเร็ว มากกว่าจะเป็นฟีเจอร์ที่ปลอดภัยที่สุด
แล้วใครบ้างล่ะที่ควรใช้ Face ID?
ผู้ใช้ทั่วไปนี่แหละค่ะ แต่หากใครกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษก็อาจจะหันไปใช้วิธีป้อนรหัสผ่านแทน
หรือถ้าใครเป็นสปาย สายลับ ฟีเจอร์สแกนใบหน้าเนี่ยปิดไปได้เลยค่ะ ไม่ปลอดภัยแน่นอน