ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand
ณัฐพล ใจจริง
เมื่อญี่ปุ่นบุก!
กับงานฉลองรัฐธรรมนูญ 2484
“8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ผมตื่นแต่เช้า มีนายตำรวจมาเรียกพ่อผม…พ่อส่งปืนให้ผมกระบอกหนึ่ง ผมทราบแล้วว่า ญี่ปุ่นขึ้นบกที่บางปู เพราะวิทยุออกข่าว… ตกบ่ายผมเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์อะไร ผมก็เข้ากรุงเทพฯ เพราะรู้อยู่แล้วว่า งานฉลองรัฐธรรมนูญต้องงดไปโดยปริยาย…”
(แท้ ประกาศวุฒิสาร, 2544)
งานฉลองรัฐธรรมนูญปี 2484 ที่ล่มลงจากเหตุกองทัพญี่ปุ่นบุกไทยในวันเปิดงานวันแรกนั้น แทบไม่มีการศึกษา เนื่องจากมีผู้จดบันทึก รูปถ่าย และเอกสารร่วมสมัยที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับงานในครั้งนั้นได้น้อย เนื่องจากเป็นการยุติอย่างฉับพลัน แทบไม่มีใครมีประสบการณ์ในงานที่ไม่ได้เปิด อีกทั้งสังคมไทยเผชิญหน้ากับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในเอเชียจึงเหลือร่องรอยที่เกี่ยวกับงานครั้งนั้นน้อย
จากความทรงจำของแท้ ประกาศวุฒิสาร พนักงานถ่ายรูปของบริษัทสหศีนิมา เล่าไว้ว่า ในวันสุกดิบก่อนงานฉลองที่มโหฬารแห่งชาติในปี 2484 จะเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้น “7 ธันวาคม พ.ศ.2484 ผมจำได้ดี เพราะเป็นวันก่อนหน้าวันเปิดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ประจำปี พ.ศ.2484 ที่สวนอัมพร… ปีนั้นเอง ผมได้เตรียมชุดราตรีสำหรับจะแต่งให้โก้ ไปถ่ายรูปการประกวดนางสาวไทย ผมไม่เคยแต่งมาก่อน ปีนั้นจึงตั้งใจเต็มที่” (แท้ ประกาศวุฒิสาร, 2544, 83)
และในช่วงบ่ายๆ ของวันที่ 7 ธันวาคม เขาแวะดูความเรียบร้อยของร้านแผนกส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในอาคารหลังใหญ่ในสนามเสือป่า ใกล้สวนอัมพร เขาพบคุณหลวงถวิลเศรษฐการ อธิบดีกรมพาณิชย์ และกำลังถ่ายภาพหมู่กับเหล่าข้าราชการหน้าอาคารร้านของกระทรวงพาณิชย์
ส่วนคุณลมูล อติพยัคฆ์ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ขณะนั้น ลมูลทำงานกับแผนกส่งเสริมการท่องเที่ยว กำลังง่วนอยู่กับตกแต่งการโฆษณาร้านให้สวยงามเพื่อรอวันเปิดงานในวันรุ่งขึ้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดได้เลยว่า ทุกอย่างที่เตรียมการเป็นอย่างดีจะล่มลงจากภัยสงคราม
แท้คาดการณ์ว่า ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเปิดงาน เขาจะมีภารกิจมาก เนื่องจากเขาเป็นพนักงานของบริษัทสหศีนิมา ที่มีชุณห์ ปิณฑานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นประธานบริษัท สหศีนิมาที่จะต้องเดินทางไปร่วมเปิดสถานที่ต่างๆ และเขาต้องติดตามไปถ่ายรูปและภาพยนตร์ตลอดทั้งงาน
ดังนั้น ในเย็นวันนั้น เขาจึงรีบเข้านอนเพื่อตื่นเช้าไปถ่ายภาพในงานฉลองรัฐธรรมนูญปี 2484
อย่างไรก็ตาม ความหวังของเขาในการแต่งตัวโก้ไปถ่ายรูปงานประกวดนางสาวไทย มิอาจเป็นไปได้ ด้วยเช้าตรู่ของวันที่ 8 เดือนนั้น กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกไทยอย่างฉับพลันพร้อมยื่นข้อเรียกร้องขอผ่านไทยไปยังพม่าและมลายูทันที
ทั้งนี้ นโยบายต่างประเทศใหม่ของไทยภายหลังการปฏิวัติ 2475 เปลี่ยนจากเดิมเคยโอนอ่อนผ่อนตามมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสตามระบอบเก่า มาสู่การเริ่มถอยห่างออกผลประโยชน์ของมหาอำนาจตะวันตกมาสู่การรักษาความอิสระในการตัดสินด้วยการรักษาความเป็นกลาง (2475-2484) นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจในยุโรปที่เริ่มปะทุตัวขึ้น ในขณะที่ไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ หัวเลี้ยวหัวต่อของความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น คือกรณีความขัดแย้งไทย-ฝรั่งเศสเรื่องการเรียกร้องดินแดนอินโดจีนคืน (2483-2484) ส่งผลให้ญี่ปุ่น มหาอำนาจใหม่ในเอเชียยื่นมือเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ไทยเริ่มโน้มเอียงไปทางญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น (ณัฐพล ใจจริง, 2563, 40-66; กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียร, 2532, 49)
ควรบันทึกด้วยว่า นับตั้งแต่กลางปี 2484 เป็นต้นมา ไทยเริ่มประจักษ์ชัดแล้วว่า บรรยากาศคุกรุ่นระหว่างมหาอำนาจเก่า อังกฤษ ฝรั่งเศส กับญี่ปุ่น เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง อังกฤษและสหรัฐไม่พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ไทย หากเกิดเหตุการณ์ญี่ปุ่นรุกรานไทย สำหรับการประเมินบทบาทการขยายแสนยานุภาพทางทหารของญี่ปุ่นต่อภูมิภาคเอเชียแล้ว จอมพล ป.เห็นว่า ญี่ปุ่นจะต้องขยายอำนาจมาทางอินโดจีนและไทยอย่างแน่นอน และไทยไม่มีศักยภาพทางการทหารเพียงพอที่จะต่อกรกับญี่ปุ่นได้ ดังนั้น ยุทธวิธีในการรับมือของเขาคือ การทำให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนห่างจากไทยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
(กอบเกื้อ, 2532, 25-26)
ในสายตาของญี่ปุ่นแล้ว ไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์เปรียบเหมือนประตูที่เปิดเข้าสู่อินเดีย พม่าและสิงคโปร์ ดังนั้น การยาตราทัพจำผ่านไทยจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เช้าตรู่ของวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นบุกทางบกเข้าทางอรัญประเทศ ปราจีนบุรี พระตะบอง พิบูลสงคราม และยกพลขึ้นบกที่บางปู สมุทปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ทางภาคใต้มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารไทยกับญี่ปุ่น ฯพณฯ ทสุโบกามิ เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำไทยยื่นคำขาดขอให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย โดยญี่ปุ่นจะรับรองเอกราชและอธิปไตยของไทย รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการอภิปรายกันในคณะรัฐมนตรีกันอย่างหนัก แต่ไทยไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ จึงยินยอมตามคำขอของญี่ปุ่น (กอบเกื้อ, 2532, 35)
หากวิเคราะห์แล้ว การตัดสินใจของรัฐบาลในเช้าวันนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากยิ่ง เนื่องจากการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นอย่างแบบพลัน (fait accompli) พร้อมกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ฮาวายของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ สมรภูมิครั้งนี้หาได้อยู่ไกลบ้านอย่างในสงครามโลกครั้ง 1 แต่สมรภูมิครั้งนี้เป็นสนามรบที่ประชิดแดนไทย ในที่สุด ไทยตกลงยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยไปยังมลายูและพม่า มีการลงนามใน “สนธิสัญญาไทย-ญี่ปุ่น” ในช่วงสายวันเดียวกัน (สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, 2556,1-36; แถมสุข นุ่มนนท์, 2548,23-24)
ทั้งนี้ แถมสุข นุ่มนนท์ ประเมินว่า การตัดสินของรัฐบาลจากเหตุการณ์วันที่ 8 ธันวาคม 2484 เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เหมาะสมกับจังหวะเวลา เมื่อกองทัพญี่ปุ่นโจมตีอย่างฉับพลัน คณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนฯ ข้าราชการและประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับว่า กองทัพไทยสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ( แถมสุข, 2548, 41)