ฟ้า พูลวรลักษณ์ : ไม่มีอิสรภาพและเผด็จการที่สัมบูรณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๖)

อิสรภาพสัมบูรณ์ไม่มี ในทำนองเดียวกันเผด็จการสัมบูรณ์ไม่มี เพราะมีข้อจำกัดมากมาย

เผด็จการที่มีอำนาจมากมายปานใด สิ่งรอบกายของเขา ล้วนพร้อมจะเป็นศัตรูกับเขา ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ กิ่งไม้ บันได ตาปู ลูกข่าง ฯลฯ มันทำให้เขาตายได้ แม้แต่สิ่งเล็กเหล่านี้ก็ฆ่าเขาได้ อำนาจทั้งปวงของเขา จึงเป็นของปลอม

ในทำนองเดียวกันกับสิทธิเสรีภาพของเรา มันล้วนมีข้อจำกัด เราจินตนาการว่ามันมีกว้างใหญ่ แต่ที่จริงก็นิดเดียว สิ่งรอบตัวของเรา ล้วนฆ่าเราได้ ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ กิ่งไม้ บันได ตาปู ลูกข่าง ฯลฯ

อากาศรอบตัวเรา ฆ่าเราได้ ด้วยการหายใจไม่ออก

เราหายใจในน้ำไม่ได้ เราจึงจมน้ำตาย

แรงโน้มถ่วงฆ่าเราได้ เราจึงตกตึกตาย

เราอาจท้าทายสิ่งเหล่านี้ เราอาจลอง แต่เราจะพบว่า เราสู้มันไม่ได้

เราแพ้หมด แพ้ทั้งดินน้ำลมไฟ ทั้งแรงโน้มถ่วง ยิ่งคิดยิ่งพิศวง ตัวเราเปราะบางยิ่งนัก

หากฉันติดคุก ฉันจะตายในเวลาอันสั้น

หากฉันต้องอยู่ในสถานที่ใด ที่ฉันกำหนดอาหารที่ฉันต้องการไม่ได้ ฉันจะอยู่ได้ไม่นาน ร่างกายของฉันจะแปรสภาพ เหมือนขนมปังที่หมดอายุ

ความแข็งแรงของฉันจึงเป็นภาพลวงตา

สิทธิ เสรีภาพ อารยธรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะดูงดงามปานใด ก็ล้วนเป็นภาพลวงตา

มันจางหายไป ได้รวดเร็วเท่าหมอกยามเช้า

มนุษย์รู้จักเอกภพนี้น้อยมาก

ฉันรู้ได้ เพราะฉันรู้จักตัวเองน้อยมาก รู้จักคนรอบข้างน้อยมาก และนั่นก็เป็นการส่องกระจกมองเอกภพ เพราะเอกภพใหญ่เกินกว่าที่เราจะมองมันด้วยตาเปล่า

ฉันรู้ได้ จากการมองคนรอบกาย เช่น หญิงสูงอายุคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก เธอเป็นคนชอบกินอาหารบูดเน่า แน่ละเธอมีหลักคิดของเธอ อาหารที่เธอเลือกกิน ที่จริงเป็นอาหารสุขภาพ เป็นพวกธัญพืช แต่วิธีการทำของมันต่างหากที่เป็นปริศนา

เช่น เธอเรียนรู้มา ที่จะหมักธัญพืชเหล่านั้นในน้ำ จนขึ้นรา จนเปลี่ยนสี ด้วยเชื่อว่ามันดีกับสุขภาพ แต่มันทำให้เธอต้องเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานๆ หลายครั้งต่อวัน ซึ่งเธอก็เชื่ออีกว่าดี

แต่เมื่อฉันนั่งกับเธอเพียงแค่ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เราทานอาหารกลางวันด้วยกัน เธอก็ต้องลุกเข้าห้องน้ำหกครั้ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นความปกติได้อย่างไร และมันจะถูกต้องได้อย่างไร

กระนั้นเธอก็เลือกที่จะทำเช่นนี้ด้วยความสมัครใจ และกลายเป็นความพิศวง

มองคนรอบข้างของฉันแต่ละคนดีๆ ฉันพบว่าแต่ละคนเป็นคนแปลก ยิ่งมองยิ่งพิศวง ความแปลกของพวกเขาเกิดจากความใหญ่โตสุดจะเข้าถึงได้ของเอกภพ

มีสองเหตุการณ์ที่ประทับใจฉัน

ครั้งหนึ่งมีนักปราชญ์ชาวเยอรมันคนหนึ่ง ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นครูสอนเด็กในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขาเป็นครูที่ดุมาก และชอบทำโทษนักเรียน ชอบทรมานเด็กเหล่านั้น หลายปีต่อมา เขาไม่ได้เป็นครูแล้ว รู้สึกสำนึกผิด เขาเดินทางกลับไปที่โรงเรียนเก่าที่ตัวเองเคยสอน แล้วออกตามหาเด็กนักเรียนเหล่านั้น ไปเคาะประตูบ้านทีละหลัง เพื่อขอโทษเด็กนักเรียนเหล่านั้น ซึ่งวันนี้โตเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว บางคนได้แต่ยืนงง หลายคนพูดอะไรไม่ออก และบางคนไม่ยอมยกโทษให้ รอยแผลยังอยู่ในใจของพวกเขา และรู้สึกการมาขอโทษนี้ยังไม่พอ

ครั้งหนึ่งมีปราชญ์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง วันหนึ่งถูกประกาศเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ด้วยความรับผิดชอบ และความละอาย เขาทำงานหนักตลอดชีวิตที่เหลือ หาเงินได้มา ค่อยๆ ทยอยเอาไปคืนเจ้าหนี้ทีละราย จนท้ายสุด ก่อนตาย เขาสามารถคืนหนี้ได้หมด มันน่าตื่นตะลึง เพราะที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องคืนก็ได้ เพราะเขาถูกศาลประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลายไปแล้ว

แต่ความทระนงในศักดิ์ศรี และความรับผิดชอบของเขา เขาจึงทำงานหนักจนถึงวันตาย

สองเหตุการณ์นี้ ฉันประทับใจและถือว่าเป็นงาน

งานสำหรับฉัน จึงไม่จำเป็นต้องเป็นงานที่เป็นชิ้นๆ เหมือนที่เรารู้จัก เช่น นักเขียน งานหนึ่งชิ้นคือหนังสือหนึ่งเล่ม หรือจิตรกร งานหนึ่งชิ้นคือภาพวาดหนึ่งภาพ ไม่จำเป็นเลย

งานอาจเป็นอะไรก็ได้ ที่มันเป็นงาน เพราะมันแสดงความเป็นมนุษย์ แสดงความน่ารัก น่าสงสาร แสดงจิตวิญญาณ มันเกิดขึ้นและน่าประทับใจยิ่งนัก

ฉันพูดเช่นนี้ เพื่อเปิดขอบฟ้าของคำว่างานออกให้กว้างใหญ่ขึ้น ลึกซึ้งขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้น

มันคืออะไรก็ได้ แต่มันไม่ได้มาง่ายๆ มันต้องทำงาน มันต้องใช้พลัง บางชิ้นต้องทำจนตัวตาย

ที่น่าสนใจคือยิ่งมีอายุมาก ยิ่งน่าทำงานแบบนี้ ในบั้นปลายแห่งชีวิตของฉัน ฉันอยากทำงานแบบนี้สักชิ้นสองชิ้น

มันเป็นงานที่เกือบไร้คำจำกัดความ เราจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อมันมา เราจะรู้เอง

ฉันจึงไม่ใช่นักเขียน ที่เมื่ออายุมากแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือต่อ มิได้หมายความว่าฉันจะไม่เขียน เพียงแต่ฉันเห็นความสำคัญของสิ่งนี้เป็นรอง ฉันย้อนกลับไปเป็นเด็ก ที่อะไรก็ได้ก็คืองาน ขอเพียงมันเรียกร้องพลังงานชีวิตของฉัน เรียกร้องความรู้สึก ฉันกลับไปเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย

ขนาดนิยายที่ฉันแต่งเอง ฉันยังจำไม่ได้เลย ฉันย่อมลืมไปได้เลย ว่าตัวเองเคยเป็นนักเขียน

แต่วันเวลาที่เหลืออยู่ ก็ไม่ได้ว่างเปล่า เพียงเท่านี้ ก็คือสัญญาณแห่งการมีงาน

แต่ชีวิตควรมีงานสแตนดาร์ด ฉันหมายถึง การทำงานแบบทั่วไป เช่น เป็นนักเขียน นักแต่งเพลง ฯลฯ สลับไปกับงานไม่สแตนดาร์ด ซึ่งมันคืออะไรก็ได้ หากงานสแตนดาร์ดนี้คือการแต่งนิยาย งานไม่สแตนดาร์ดก็คือการใช้ชีวิตเป็นนิยายเสียเอง ซึ่งลึกซึ้งกว่า

แต่ฉันมีเพื่อนบางคน ที่ตลอดชีวิตทำงานไม่สแตนดาร์ด และเมื่อเสียชีวิต ก็ดับสูญไปเลย เหมือนคนที่ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีทะเบียนบ้าน กลายเป็นบุคคลผู้ไม่มีตัวตน

ฉันยังคงเลือกที่จะเดินสายกลาง

งานสแตนดาร์ดมีอันตรายคือ แม้มันจะดูมั่นคง แต่ยามมันสูญสลาย มันก็ไปเป็นแถบ เหมือนแฟชั่น ยามล้าสมัย ก็กลายเป็นสิ่งเชย เป็นตัวตลก ไม่ว่าครั้งหนึ่งจะดูยิ่งใหญ่เพียงไหน กวีราชสำนักที่เรืองอร่าม ยามหมดยุค ก็ไม่มีใครรู้จัก ดาราที่เคยมีแฟนเข้าแถวยาวเหยียดสุดสายตา วันหนึ่งก็อาจไม่มีใครจำเขาได้

สมัยวัยรุ่น ฉันดูหนังตามโรงสแตนอโลน หนังสมัยนั้นจะฉายยืนโรงเดียว อย่างน้อยสองสัปดาห์ แบบพอใช้ได้ก็คือหนึ่งเดือน ถ้าหนังคนเยอะมาก ก็ฉายนานหลายเดือน แต่ละโรงก็อยู่ห่างไกลกัน

วันหนึ่งฉันเขียนชื่อหนังใส่กระดาษ แล้วใส่กล่อง จับสลากได้เรื่องไหน ก็ไปดูเรื่องนั้น

อีกวันหนึ่งฉันเรียงชื่อหนังตามอันดับที่ฉันอยากดูที่สุด แล้วค่อยๆ ดูจากรายชื่อข้างบนลงมาข้างล่าง นี่คือวิธีการดูหนังแบบปกติ คือเลือกดู เรื่องที่อยากดูที่สุดก่อน

แต่ต่อมาวันหนึ่ง ฉันเปลี่ยนระบบใหม่ ฉันเลือกดูหนังจากรายชื่อด้านล่างขึ้นมาหาด้านบน เท่ากับฉันเลือกหนังที่ตัวเองไม่อยากดูที่สุด ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปหาหนังที่ฉันอยากดู

ปฏิบัติการท้ายสุดนี้ กลับลึกซึ้งกว่า เหนือกว่าแบบแรก คงเพราะแบบแรกเป็นเพียงการตามใจตัวเอง ซึ่งปกติก็ทำอยู่เสมออยู่แล้ว จึงไม่ได้ประสบการณ์ใหม่ ไม่ได้ความรู้สึกใหม่ ไม่ได้มีชีวิตใหม่ แต่แบบหลัง ฉันต้องใช้พลัง ใช้ความอดทน และเดินหน้าเรียนรู้

ฉันเรียนรู้อะไรได้มากกว่า มีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจกว่า

แปลกเหลือเกิน ฉันเพียงไขว้สลับนิดเดียว

๑๐

ปฏิบัติการเหล่านี้ ฉันทำมามากมายในชีวิต มันมีเล็กมีใหญ่ และบทมันจะใหญ่ มันอาจดูดกลืนทั้งชีวิต มันอาจนำพาฉันลงเหว และเพราะฉันมีชีวิตเดียว ฉันจะทำงานแบบนี้ได้กี่ชิ้นกัน