ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | นงนุช สิงหเดชะ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ
รัฐธรรมนูญสหรัฐหมวด4 เครื่องมือปลด “ทรัมป์”??
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เมืองชาร์ลอตต์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างพวก White supremacist (พวกที่เชื่อว่าคนขาวยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือทุกเผ่าพันธุ์) ซึ่งได้แก่กลุ่มนาซีใหม่และคูคลักซ์แคน กับฝ่ายต่อต้าน
โดยพวกนิยมคนขาวได้ขับรถลุยเข้าไปพุ่งชนกลุ่มตรงข้ามจนมีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อสัปดาห์ก่อน ก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องให้ปลดหรือถอดถอน โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะถือว่าไม่เหมาะจะดำรงตำแหน่งอีกต่อไป
วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทรัมป์ได้หลีกเลี่ยงที่จะประณามกลุ่มคนขาวสุดโต่งดังกล่าวตรงๆ
หากแต่พูดแทงกั๊กอ้อมไปอ้อมมา จนถูกรุมตำหนิอย่างหนักว่าเป็นเพราะคนเหล่านี้คือฐานเสียงของทรัมป์ ก็เลยเลี่ยงการประณาม
ทำให้ในอีก 2 วันต่อมาทรัมป์จึงยอมประณามโดยออกชื่อตำหนิกลุ่มคนเหล่านั้น
แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าตอบสนองช้าไปเหมือนไม่เต็มใจ จึงถือว่าทรัมป์นั้นสนับสนุนการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ สร้างความแตกแยกเกลียดชัง ทำลายบรรทัดฐานของความเป็นอเมริกันไปแล้ว
แต่ทว่าในวันต่อมาทรัมป์ก็กลับไปพูดเหมือนเดิม คืออ้างว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของทุกฝ่าย คราวนี้ยิ่งทำให้ทรัมป์ถูกประณามหนักกว่าเดิมว่า จะเอาฝ่ายที่ก่ออาชญากรรมฆ่าคนอื่น เหยียดผิวและเชื้อชาติไปเปรียบเทียบกับฝ่ายสายกลาง+เสรีนิยมได้อย่างไร
ผลพวงจากเรื่องนี้ทำให้บรรดาซีอีโอของบริษัทชั้นนำของสหรัฐพากันตบเท้าลาออกจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ทั้งสองชุดเพื่อประท้วง ทำให้ทรัมป์จำเป็นต้องประกาศยุบสภาทั้งสองชุด
ขณะที่บรรดาคนพรรครีพับลิกัน ทั้งเบอร์ใหญ่เบอร์เล็ก ต่างพร้อมกันตำหนิท่าทีและคำพูดของทรัมป์ต่อเหตุการณ์ชาร์ลอตต์วิลล์
โดยย้ำว่าการก่อความรุนแรง สร้างความเกลียดชัง การแบ่งแยก-เหยียดหยามเชื้อชาติและสีผิวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้
เหตุการณ์ที่ชาร์ลอตต์วิลล์ คล้ายจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายฝ่ายหมดความอดทนต่อทรัมป์
ล่าสุด แจ๊กกี้ สไปเออร์ ส.ส.แคลิฟอร์เนีย พรรคเดโมแครต ได้ออกมาเรียกร้องว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะนำบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 (the 25th Amendment) มาใช้
เพราะนับวันประธานาธิบดีจะมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และมีสภาพจิตที่ไม่มั่นคง
นำพาประเทศชาติไปสู่อันตรายอย่างใหญ่หลวง
ส.ส.เดโมแครตบอกว่า นอกเหนือจากเหตุการณ์ชาร์ลอตต์วิลล์แล้ว การที่ทรัมป์แกว่งปากพูดแบบไม่ยั้งคิดกรณีเกาหลีเหนือ จนแทบจะเกิดสงครามนั้น ทำให้ประเทศนี้จำเป็นต้องได้รับการปกป้องไม่ให้ประธานาธิบดีทำลาย
เราไม่อยากส่งคนของเราออกไปรบในเกาหลีเหนือเพียงเพราะประธานาธิบดีของเราแสดงความเห็นที่ดุเดือด
ส่วนพรรครีพับลิกันเองล่าสุดก็เริ่มจะวิจารณ์ทรัมป์อย่างตรงไปตรงมาในลักษณะที่ทำให้เห็นว่าทรัมป์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้
เช่น บ๊อบ คอร์เกอร์ ส.ว.เทนเนสซี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระบุชัดว่าทรัมป์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจแคแร็กเตอร์ของประเทศนี้
ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพหรือความสามารถที่อเมริกาต้องการจากผู้นำ ทำเนียบขาวจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างถึงรากถึงโคน
สําหรับบทแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 ดังกล่าว จัดทำขึ้นในปี ค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) หลังจากอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบสังหาร
โดยบทแก้ไขนี้ระบุรายละเอียดกระบวนการแต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งถ้าหากว่าประธานาธิบดีเสียชีวิต ลาออก หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ที่ผ่านมามีการนำบทแก้ไขที่ 25 มาใช้ทั้งหมด 6 ครั้งและล้วนแต่ใช้กับประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน
โดย 2 ครั้งใช้ในช่วงที่เกิดคดีอื้อฉาววอเตอร์เกตยุคอดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน
2 ครั้งใช้ในสมัยอดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ซึ่งเข้ารับการผ่าตัดลำไส้
ส่วนอีก 2 ครั้งใช้ในสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอช ดับเบิลยู. บุช หรือบุชผู้พ่อซึ่งป่วยหนักระหว่างดำรงตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด 6 ครั้งนั้น ยังไม่เคยมีกรณีนำหมวดที่ 4 ของบทแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 มาใช้ เนื่องจากไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนมีพฤติกรรมเข้าข่ายแบบทรัมป์
ดังนั้น ทรัมป์อาจเป็นคนแรกที่ต้องนำหมวด 4 มาบังคับใช้ก็เป็นได้
สําหรับหมวดที่ 4 นั้น อนุญาตให้รองประธานาธิบดีและเสียงส่วนใหญ่ของฝ่ายบริหารยื่นแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธานชั่วคราวของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรว่าบัดนี้ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
จากนั้นรัฐสภาหรือคองเกรสจะทำการตัดสินใจโดยใช้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของคองเกรสลงมติว่าประธานาธิบดีไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
อันที่จริงข่าวลือเรื่องที่รีพับลิกันจะผลักดันให้รองประธานาธิบดี ไมก์ เพนซ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนทรัมป์นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง 2-3 เดือนแรกหลังพิธีสาบานตนของทรัมป์
หากสามารถใช้หมวดที่ 4 มาทำให้ทรัมป์หลุดตำแหน่งได้ก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนการถอดถอนหรืออิมพีชเมนต์ที่จะใช้เวลานานและยืดยาด
อย่างไรก็ตาม หนทางสำหรับฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคเดโมแครตที่อยากปลดทรัมป์ไม่ว่าจะใช้หมวด 4 หรือใช้การอิมพีชเมนต์ ก็จะประสบอุปสรรคอย่างเดียวกัน นั่นคือปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร
การจะใช้บทแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 หมวด 4 ได้สำเร็จก็ต้องเกิดจากซีกรีพับลิกันเท่านั้น ซึ่งยังคงต้องรอดูกันต่อไป
ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่รีพับลิกันอาจรอให้สถานการณ์ของทรัมป์สุกงอมจริงๆ เพราะขณะนี้การสอบสวนเรื่องที่ทรัมป์อาจเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนของอัยการ
ทางด้าน โทนี่ ชวาร์ตซ์ ซึ่งเคยช่วยทรัมป์เขียนหนังสือเรื่อง The Art of the Deal เมื่อ ค.ศ.1987 ซึ่งเป็นหนังสือที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเป็นคนยิ่งใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ของทรัมป์ วิเคราะห์ว่าทรัมป์จะลาออกในไม่ช้าภายในปีนี้เพื่อรักษาหน้าตัวเอง
โดยเขาจะชิงประกาศชัยชนะ ก่อนที่ โรเบิร์ต มุลเลอร์ อัยการพิเศษซึ่งได้รับมอบหมายให้สอบสวนเรื่องรัสเซียและสภาคองเกรสจะไม่เปิดทางเลือกให้
ชวาร์ตซ์ได้อธิบายถึงภาวะขาดวุฒิภาวะของทรัมป์ ว่าทรัมป์นั้นมีความเป็นเด็กอมมือสูง พัฒนาการของเขาหยุดลงตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
ทุกครั้งที่เขาวิจารณ์และทำให้คนอื่นดูต่ำต้อยนั้นเขาใส่ความเกลียดชังต่อผู้อื่นเสมอเพราะตัวเขาเองรู้สึกถึงความไม่เพียงพออยู่ในใจตลอด