กาละแมร์ พัชรศรี : รอดตายจากถ้ำยักษ์

ในที่สุดพวกเราก็รอดชีวิตออกมาจากถ้ำ Son Doong ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดที่เวียดนามจนได้ค่ะ

ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่ามันจะต้องเผชิญกับอะไรขนาดนี้ แต่พอไปเจอของจริง เฮ้ยยย มันขนาดนี้เลยหรือนี่

ปรกติถ้ำจะไม่เปิดตอนช่วงหน้าฝนเพราะอันตรายและลื่นง่ายมาก

แต่ช่วงที่เราไปพายุเกิดเข้าเวียดนามพอดี ดังนั้น เราจึงได้โบนัสพิเศษ คือ เราจะต้องเข้าที่ทางออก เพราะทางเข้าน้ำท่วมเข้าไม่ได้แล้ว

และนี่เป็นครั้งแรกที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าทางนี้!!

แค่ได้ยินก็เนื้อเต้นแล้ว แต่นั่นยังไม่เห็นหน้างานไง

ก่อนเข้าถ้ำเขาจะแจกถุงพลาสติกใบใหญ่แบบหนา ไว้ให้พวกเราใส่ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นลงไปแล้วจะมีคนขนไปให้เรา แล้วเราก็นั่งรถไปทางเข้าป่า

เมื่อรถจอดให้ลง เรามองทางเข้าเล็กๆ (ซึ่งปรกติคือทางออก) มองลงไป อุ๊ตะ ทางลงลาดชันเกือบ 90 องศา

เริ่มต้นก็ต้อนรับกันแบบนี้ทีเดียว

 

เราต้องเดินป่าเข้าไปชั่วโมงกว่าๆ ผ่านจุดเดินง่ายบ้างยากบ้างสลับกันไป จุดยากคือเดินบนหินแหลมคมประมาณ 20 นาที

สิ่งที่ต้องมีคือ สติ สมาธิและใจ และเรายังมีผู้ช่วยด้านความปลอดภัยคอยเป็นบัดดี้เดินกับเราไปตลอดทาง

ใครต้องการความช่วยเหลือเขาจะเดินประกบ คอยจับมือดึงตัวเราขึ้น พยุงเราไม่ให้ล้ม คอยเตือนเราเมื่อเจอทางลื่นหรือชนกิ่งไม้บนหัว บางครั้งเอาเท้ามากันเท้าเราไม่ให้เราลื่นไถลลงไป เอามือมาจับขาเราให้ยืดเหยียดลงไปให้วางเท้าได้

ถ้าแบกเราไปได้เขาก็ทำแล้ว (ซึ่งเคยมีผู้หญิงที่เอ็นข้อเท้าบาดเจ็บเขาเอาใส่กระสอบเดินออกมาจากถ้ำได้เลย)

ฉันพูดได้เลยว่าถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้ ก็ไม่มีฉันมานั่งเขียนเรื่องราวให้คุณได้อ่านกัน เพราะฉันคงลื่นไถลตกเขา ตกหิน หัวฟาดถ้ำไปหลายครั้งแล้ว

หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บนับครั้งไม่ถ้วน

พวกเขารักษาชีวิตฉันไว้หลายต่อหลายครั้ง

 

และเมื่อถึงปากทางเข้าถ้ำ เขาแจกอุปกรณ์อย่างหมวกพร้อมไฟติดหัวมาให้พวกเราทุกคน

เพราะต่อจากนี้ความมืดจะปกคลุมพวกเรา

นอกจากนี้ ถุงมือเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะไม่ใช่แค่เท้าที่เราใช้เดิน มือสองข้างก็จำเป็นไม่แพ้กัน บางครั้งต้องคลาน ต้องโถมโน้ม ประคอง กันลื่นแล้วอย่าลืมว่าในถ้ำมีหินแหลมเต็มไปหมด

ถุงมือทำให้เราไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

เราตะลึงในความใหญ่ของถ้ำ หนทางเดินมืดลงเรื่อยๆ ถ้าเราดับไฟทั้งหมด เราจะมองไม่เห็นแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเรา ไฟบนหมวกจึงได้รับการเช็กทุกวันก่อนออกเดินทาง

ทีมงานจะคอยมาเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ และให้เราคอยปิดเพื่อเซฟแบตยามไม่ได้ใช้เสมอ

เราได้รับข้อมูลว่า เราต้องโรยตัวด้วยเชือกลงจากกำแพงถ้ำที่มีชื่อว่า Wall of Vietnam ที่มีความสูง 100 เมตร!!!!

ฉันแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองและอยากจะตบหน้าให้แรงๆ เพื่อย้ำว่าเรื่องที่ได้ยินคือเรื่องจริง คนกลัวความสูงอย่างฉันต้องโรยตัวลงไปเพียงลำพัง จะมีทีมงานห้อยตัวเป็นระยะเพื่อเปลี่ยนตะขอเกี่ยวตัวเซฟฟี้ให้เราเท่านั้น

ทีมงานแต่งตัวให้เราจนแน่นไปหมด เราทยอยโรยตัวลงไป ยิ่งรอก็ยิ่งตื่นเต้น มือเย็นไปหมด ใจเต้นตึ่กตั่ก ฉันพยายามตะโกนให้กำลังใจตัวเอง

พอถึงคิว ฉันบอกตัวเองในใจว่า “ฉันต้องทำได้ๆๆๆ”

สิ่งที่อยู่กับตัวคือ “สติกับสมาธิ” ไม่คิดวอกแวก คิดแค่ว่าเราต้องใช้มือยังไง ก้าวขาไหน แสงสว่างจากหมวกเราส่องไปที่เท้าและอีกก้าวเท่านั้น

ระหว่างทางมีบางช่วงที่แรงจะหมด มันเหมือนจะไม่ไหวแล้ว อยากปล่อยเชือกเหลือเกิน กลัวก็กลัว

แต่ในใจฉันก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า “กรูต้องไม่ตายๆๆ”

ใจมันฮึด แรงมันก็ฮึดขึ้นมาใหม่

 

ลงมาถึงพื้นเจอวู้ดดี้ยืนรออยู่ก็ถามว่าถึงแล้วใช่ไหม วู้ดดี้ตอบว่า “ยัง เราต้องไปต่ออีก” เข่ามันแทบทรุด จะต้องไปอีก ฉันเปลี่ยนตัวล็อกแล้วจับเชือกอีกครั้ง คราวนี้ทางชันกว่าเดิม แคบกว่าเดิม และมีน้ำไหลลงมาด้วย

ด้วยความกลัวเราจะเกาะเชือกไว้แน่น งอตัวเข้าไปใกล้ผนัง หดแขนหดขา แต่ท่านี้จะทำให้เราไปต่อไม่ได้ เราต้องทำท่าที่ฝืนกับสิ่งที่อยากทำ นั่นคือการยืดแขนขาให้ตรง ดันตัวออกมาจากผนังแล้วก้าวขาลงไป

มันเหมือนกับเราเผชิญหน้ากับปัญหา ความกลัว ความทุกข์ เรามักเข้าไปคลุกกับมันอย่างใกล้ชิด งอแงกับมัน ไม่ยอมลุกขึ้นมาสักที

แต่ถ้าเรายอมฝืนตัวเองและมีสติขึ้นมาสักนิด ถามตัวเองว่าอยากจะรอดและไปต่อไหม เราต้องถอยออกมาจากมัน เผชิญหน้ากับมัน แล้วก้าวออกไป!

ฉันโรยตัวจนถึงตรงที่มีผนังถ้ำมีหินยื่นออกมาให้เราได้ยืน แต่มันยังไม่จบ เพราะต้องลงบันไดต่อ!!! ประทานโทษอยู่ที่บ้าน ขึ้นบันได 3 ขั้นปีนหยิบของยังขาสั่น

ฉันต้องปล่อยมือจากเชือก ก้าวขาจากพื้นเพื่อไปที่บันได คนธรรมดาเขาอาจจะทำได้ แต่สำหรับคนกลัวความสูงอย่างฉัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ฉันไม่อยากปล่อยเชือก ไม่อยากก้าวขา มันแข็งทื่อไปหมด

จนทีมงานถามว่าฉันกลัวเหรอ ฉันพยักหน้า

เขาหัวเราะกันแล้วบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก คุณทำได้ เสียงหัวเราะทำให้ฉันผ่อนคลาย คำพูดทำให้ฉันมีกำลังใจ ฉันจึงก้าวขาลงไปแบบมีสติอีกครั้ง ฉันนึกถึงตอนฉันเดินจงกรม สติอยู่ที่เท้าซ้าย ขวา ซ้าย ขวา แค่นั้นจริงๆ

พอลงเกือบสุดบันไดน้ำท่วมขึ้นมา เลยต้องลงในเรือแทนบนพื้น เมื่อนั่งอยู่ในเรือ ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า

“มันจบแล้วและเธอทำได้”

 

นี่คือจุดที่ยากที่สุดของฉันในทริปนี้ และฉันก็ได้ก้าวข้ามผ่านความกลัวนั้นมาได้ ฉันรู้เลยว่า “สติและสมาธิ” สำคัญกับเรามากที่สุด พร้อมทั้งใจที่ไม่ยอมแพ้กลางทาง

และฉันรู้แล้วว่า ถ้าเรากลัวสิ่งใดจงเผชิญหน้ากับมันและกล้าจะข้ามมันไป

ฉันรู้เลยว่าความกลัวนี้มันจะไม่อยู่เหนือเราอีกต่อไป

ลาก่อน…