ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ว่าด้วยกรณีกฎหมายต่างด้าว
ที่รัฐบาลชักมีดขึ้นมาตัดมือตัวเอง
มีข้อสังเกตอยู่ 2 ประเด็นสำหรับเรื่องนี้
ประเด็นแรก มีองค์ประกอบร่วมอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาในสองสามสัปดาห์
ไม่ว่าจะเรื่องขับไล่แรงงานต่างด้าว การเสนอขึ้นทะเบียนดิจิตอลของประชาชน
หรืออาจจะรวมไปถึงการร่างรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ด้วยก็ได้
นั่นคือทั้งหมดเป็นเรื่องของการเหยียดคนที่ (รู้สึกว่า) ต่ำกว่า
พอเป็นไทยก็เหยียดเพื่อนบ้านรอบข้าง
เป็นผู้ดีท่านก็เหยียดไพร่
หรือเป็นผู้ (คิดว่า) รู้ก็เหยียดคนที่ (คิดว่า) โง่กว่า
คำถามคือบรรดา (ผู้เชื่อว่าตัวเองเป็น) ผู้รู้-ผู้กำหนดความเป็นไปและอนาคตของสังคม ทั้งเทศและไทยมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์
จะสามารถควบคุมสังคมให้อยู่ในอุ้งมืออย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
จะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตจะเป็นเส้นตรงตามที่ตัวเองหรือพวกพ้องต้องการ
ในโลกที่ความทรงจำยกกำลังสองเพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งไม่มีใครคาดหมายอะไรได้
แม้แต่ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ไม่ต้องพูดถึง 10-20 ปีหรอกครับ
เมื่ออนาคตก็ไม่รู้
แถมปัจจุบันก็ยังแหว่งๆ วิ่นๆ
ก็มีคำถามสำหรับปัจจุบันขึ้นมาว่า แล้วจะเดินกันอย่างไรต่อไปแบบมนุษย์ปกติ
และคำถามต่อก็คือว่า ถ้าไม่ปกติอะไรจะเกิดขึ้น
ว่าด้วยกรณีต่างด้าวก่อน
ใครคิดหรือเชื่อบ้างว่า 180 วัน ระบบราชการไทยจะแก้ไขปัญหาให้กับคนจำนวนนับล้านได้
ด้วยกติกาที่ออกมา เอาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียมทั้งหลายแหล่อย่างเดียว
ก็ชวนให้สงสัยเสียแล้วว่า นี่เป็นกฎหมายที่เขียนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา
หรือเพื่อสร้างปัญหาให้หนักข้อยิ่งขึ้น
ยังไม่นับว่าฝั่งพม่าฝั่งกัมพูชาก็มีปัญหาไม่แพ้ฝั่งไทยเหมือนกัน
เจริญละครับ
กรณีขึ้นทะเบียนดิจิตอล
เอาแค่ว่าถ้ามาตรการ “ล้ำโลก” นี้มีผลบังคับใช้จริง ผู้ประกอบการที่ไหนจะกล้ามาเสี่ยงมาลงทุน
แค่ของเก่าก็ยังไม่รู้จะอยู่ต่อไปไหม
ของใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
มาถึงกรณีรัฐธรรมนูญ (รวมถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วย)
ร่างกันเข้าไป เหมือนไม่ได้เห็นหัวชาวบ้าน
และที่ท่านอยากทำ คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากทำด้วย (ไม่เชื่อก็ลองเลือกตั้งดู)
ไม่เหยียดกันนี่ทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริงๆ นะครับ
ประเด็นต่อมา เป็นนิทานเก่าเอามาเล่าใหม่
เป็นประวัติศาสตร์การเมืองหมาดๆ ที่เกิดขึ้นไม่นานนัก
สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ยุคนั้นเพื่อจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ “แกตต์” หรือข้อตกลงว่าด้วยการค้าและศุลกากร ที่ต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นองค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ
สหรัฐในฐานะหัวเรือใหญ่ของการค้าเสรี บังคับให้ประเทศต่างๆ ที่ยังไม่มีกฎหมายการค้าเสรีหรือเทรด แอกต์ ออกกฎหมายในทำนองนี้
ไทยก็อยู่ในข่ายที่ถูกบีบด้วย
แต่แทนที่จะต้องรีบเอาใจมหาอำนาจ ด้วยการออกฎหมายรวบรัดเป็นพระราชกำหนด
พล.อ.เปรมและคณะเลือกออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติ
กว่าจะผ่านขั้นตอนของราชการมาถึง ครม.
กว่าจะต่อเข้าไปในสภาตามขั้นตอน
กว่าจะแปรญัตติ กว่าจะไปถึงวาระสองวาระสาม
อ้าว-ยุบสภาเสียอีกแล้ว
สองรอบสามรอบ กฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่คลอดออกมา
แต่รัฐบาลไทยก็อธิบายกับรัฐบาลสหรัฐได้ว่า ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
เพียงแต่ทุกอย่างมีขั้นตอนกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย
ในฐานะหัวเรือใหญ่ของโลกเสรี สหรัฐก็ควรจะเข้าใจ
เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละครับท่านสารวัตร
ส่วนนิทาน (จากเหตุการณ์จริง) เรื่องนี้จะมีข้อเตือนใจอะไรหรือไม่ ใครได้รับบทเรียนอะไรไปหรือเปล่า
ก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละท่านละครับ
จะไม่รับไว้เลยก็ว่ากันไม่ได้อีก
เป็นผู้น้อยเป็นไพร่ ทำได้อย่างมากก็แค่เล่านิทาน
ใครไม่เหยียดกัน ท่านเปิดใจรับฟัง ก็ยินดี
ท่านไม่ยินดียินร้าย ใครจะกล้าไปว่าอะไรท่านได้
หุหุ