กลยุทธ์พยัคฆ์เฒ่า เกม ‘บิ๊กป้อม’ หมาก ‘ธรรมนัส’ ศึกการเมือง ศึกโยกย้าย เดิมพัน ‘ทรงวิทย์’ จับตา ‘ผบ พล.1 รอ’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

กลยุทธ์พยัคฆ์เฒ่า

เกม ‘บิ๊กป้อม’

หมาก ‘ธรรมนัส’

ศึกการเมือง

ศึกโยกย้าย

เดิมพัน ‘ทรงวิทย์’

จับตา ‘ผบ พล.1 รอ’

 

ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายทหารเริ่มแล้ว หลังบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ส่งสัญญาณแล้วว่าให้ทำเสร็จเร็วขึ้น

แม้ พล.อ.ประวิตรไม่ได้เป็น รมว.กลาโหมแล้ว แต่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ควบ รมว.กลาโหม เป็นเชิงสัญลักษณ์ มอบหมาย

พล.อ.ประวิตรส่งสัญญาณผ่านบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม มาถึง ผบ.เหล่าทัพ ให้ทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปี ให้เสร็จภายในสิงหาคม แต่โผแรกให้ประชุมหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้

กระทรวงกลาโหมอยู่ในสภาพที่เจ้ากระทรวงไม่ได้มานั่งทำงานที่กระทรวง แต่มอบให้ พล.อ.ชัยชาญ มือขวา พล.อ.ประวิตรอยู่โยงแทน เข้ากระทรวงตั้งแต่เช้าตรู่ กลับเย็นย่ำ แถมวันเสาร์ก็มาประชุมติดตามการสนับสนุนรัฐบาล ในการแก้ปัญหาโควิดด้วย

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เข้ากระทรวงกลาโหมแทบจะนับครั้งได้ ในช่วง 2 ปีที่เป็น รมว.กลาโหม โดยมาประชุมสภากลาโหมแค่เดือนละครั้งเท่านั้น แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็ประชุมผ่านระบบ VTC หรือให้ พล.อ.ชัยชาญประชุมแทน

แต่เป็นที่รู้กันในกองทัพว่า พล.อ.ประวิตรยังคงมีบทบาทเสมือน รมว.กลาโหมเงา เพราะสัปดาห์ที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้เป็นตัวแทนร่วมประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนอีกครั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ยังตั้ง พล.อ.ประวิตรเป็นที่ปรึกษาสภากลาโหมด้วย แต่จะมาประชุมเฉพาะครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นประธานประชุมเอง

แต่ถ้าครั้งไหนที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มา แต่ให้ พล.อ.ชัยชาญเป็นประธานประชุมแทน พล.อ.ประวิตรจะไม่มาร่วม เพราะด้วยความที่เป็นบิ๊กป้อมก็ต้องนั่งหัวโต๊ะ อาจทำให้ พล.อ.ชัยชาญเป็นประธานประชุมไม่สะดวกนัก

แต่ทว่าบทบาทของ พล.อ.ประวิตรต่อกลาโหม ต่อกองทัพ ยังคงมีอยู่ แม้อาจจะไม่ใช่โดยตรง แต่ผ่านทาง พล.อ.ชัยชาญและ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะปรึกษาหารือ พล.อ.ประวิตรในเรื่องสำคัญๆ ก่อน โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร

จึงไม่แปลกที่เวลานี้กองทัพจะเข้มข้นอย่างมาก เพราะเริ่มจัดโผทหารกันแล้ว และต้องมีการเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพ 3 คนคือ ปลัดกลาโหม ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. ที่เกษียณราชการ

แต่ที่ ทบ. แม้บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.จะยังไม่เกษียณ แต่ก็เป็นการจัดโผครั้งสำคัญ ที่จะต้องวางตัวคนมาเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป

โดยทุกสายตาจับจ้องไปที่เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ที่แม่ทัพต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ ที่จะขยับขึ้นพลเอกห้าเสือ ทบ. ในตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. เพื่อจ่อคิวเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่จะเกษียณกันยายน 2566

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ รองเสธ.อ๊อบ พล.ท.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองเสธ.ทบ. มีโอกาสสูงที่จะย้ายระนาบข้ามกลับมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป หลังจากที่โยกย้ายปีที่แล้วถูกขยับจากรองแม่ทัพภาคที่ 1 เข้า บก.ทบ. มาเป็นพลโท ตำแหน่งรองเสธ.ทบ. ที่ใครๆ คิดว่าอาจหลุดไลน์

ด้วยรู้กันดีว่า พล.ท.ทรงวิทย์นั้นไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อย จปร. และจบนายร้อยเวอร์จิเนีย หรือ VMI สหรัฐอเมริกา จึงถูกมองว่า อาจเจอม่านประเพณี อดขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.

แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป พล.ท.ทรงวิทย์กำลังถูกจับตามองเขม็งว่าอาจสร้างประวัติศาสตร์ ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนแรก ที่ไม่ได้จบ จปร. และอาจลุ้นเป็น ผบ.ทบ.คนแรกที่แหวกม่านประเพณี ที่เคยทำให้นายทหารที่จบนายร้อยต่างประเทศ ทั้งนายร้อย WestPoint สหรัฐ และนายร้อย Saint Cyr ฝรั่งเศส ในอดีต อดเป็น ผบ.ทบ. ต้องแยกไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุดกันมาหลายคนแล้ว

ดังนั้น พล.ท.ทรงวิทย์จึงถูกเฝ้ามองว่า ท้ายที่สุดเขาจะสร้างประวัติศาสตร์ได้เป็น ผบ.ทบ. หรือว่าจะถูกส่งข้ามไปเกษียณที่ ผบ.ทหารสูงสุด

โผโยกย้ายทหารครั้งนี้ จึงจะเป็นขั้นแรกที่บ่งบอกอนาคตของ พล.ท.ทรงวิทย์ และอนาคตกองทัพบกด้วย

พล.ท.ทรงวิทย์เป็นลูกชายบิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต ผบ.ทบ. และโตมาใน ร.11 รอ. เคยสร้างประวัติศาสตร์ได้เป็นผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม

และที่สำคัญคือ เป็น ผบ.พล.1 รอ.มาแล้ว แถมเป็นในยุคที่กองทัพบกมีนายทหารคอแดง มีหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) แล้ว อันเป็นการสะท้อนว่า พล.ท.ทรงวิทย์ผ่านมาได้หลายด่าน

ยิ่งเวลานี้ด้วยงานใน ทบ.เป็นรองเสธ.ทบ. ที่ดูแลงานยุทธการ และตรงกับหน้าที่ใน ฉก.ทม.รอ.904 และยังเป็นวิทยากรในโรงเรียนจิตอาสาฯ และมีผลงานเป็นที่ชื่นชม

ที่สำคัญ มี พล.อ.ณรงค์พันธ์ซึ่งเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย เป็นกองหนุนสำคัญ พร้อมด้วยแถวกองหนุนอีกหลายระดับ ที่ทำให้ พล.ท.ทรงวิทย์จึงอยู่ในไฟโฟกัสที่จะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 และเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.ในอนาคต

ที่ฮอตคือ ในการโยกย้ายปี 2566 หาก พล.ท.ทรงวิทย์ขึ้น 5 เสือ ทบ.ก็จะต้องไปชิง ผบ.ทบ.กับ พล.ท.เจริญชัย รุ่นพี่ ตท.23 ที่โผนี้ขึ้น ผช.ผบ.ทบ.ไปอาวุโสรอก่อนแล้ว

เวลานั้น ก่อน พล.อ.ณรงค์พันธ์เกษียณ จะพีกมากว่า จะเลือก พล.ท.เจริญชัย น้องรักสายทหารเสือฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้น ผบ.ทบ. หรือว่าจะให้ พล.ท.ทรงวิทย์ขึ้น ผบ.ทบ.

พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์

กล่าวกันว่า ในกันยายน 2566 มี 2 สูตร คือ ถ้าใครไม่ได้ถูกเลือก ก็จะถูกส่งข้ามไป บก.ทัพไทย เป็น ผบ.ทหารสูงสุด

พล.ท.เจริญชัยอาจถูกเลือกให้เป็น ผบ.ทบ.คอแดง 1 ปี ก่อนเกษียณกันยายน 2567 จากนั้น พล.ท.ทรงวิทย์ค่อยเป็น ผบ.ทบ.ต่อ เพราะเกษียณกันยายน 2568 อันเป็นสูตรที่จะทำให้ความขัดแย้งใน ทบ.ลดน้อยลงที่สุด

หรืออีกสูตรหนึ่งคือ พล.ท.ทรงวิทย์อาจถูกขยับไป บก.ทัพไทย เสียบเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในปีสุดท้ายก็เป็นได้

นั่นคือสูตรความเป็นไปได้ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศเข้มข้นระหว่าง ตท.23 ของ พล.ท.เจริญชัย และ ตท.24 รุ่น พล.ท.ทรงวิทย์

แต่หากมีการส่งสัญญาณมาแต่เนิ่นๆ ว่าใครจะเป็นอะไร บรรยากาศใน ทบ.ก็จะดีขึ้น แต่บางครั้ง เจ้าตัวอาจรู้อนาคตตนเองแล้ว แต่บอกใครไม่ได้ จนคนในกองทัพก็ต้องคาดการณ์กันไป

ทว่ามาโผนี้ สเต็ปแรกคือ พล.ท.ทรงวิทย์ชิงแม่ทัพภาคที่ 1 กับแม่ทัพโต พล.ท.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพน้อยที่ 1 รุ่นพี่ ตท.23 สายบูรพาพยัคฆ์ ที่ก็เป็นระดับครีมใน ทบ. และเป็นที่รักของน้องๆ

หาก พล.ท.ทรงวิทย์เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.สุขสรรค์อาจจะข้ามไปเป็น ผบ.รร.นายร้อย จปร. ที่เป็นนายทหารคอแดงคนแรก เพราะต้องไปเป็นต้นแบบ ไปสร้าง นายทหารรุ่นใหม่จากรั้ว รร.นายร้อย จปร. ที่มี “ฉก.คะเด็ท” นักเรียนนายร้อย จปร.คอแดงอยู่แล้วด้วย

แต่อีกตำแหน่งที่ถูกจับตามองคือ ผบ.พล.1 รอ. ที่โผนี้ ถึงเวลาที่ ผบ.เนี้ยว พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน (ตท.27) จะต้องขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อเตรียมเข้าไลน์สู่เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ในอนาคต ต่อจาก ตท.24 ที่ยังมีรองหนุ่ย พล.ต.ธราพงษ์ มาละคำ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่โผนี้อาจขยับขึ้นแม่ทัพน้อยที่ 1 เข้าไลน์ไว้ก่อน

พล.ต.ธราพงษ์ บูรพาพยัคฆ์คอแดงสาย พล.อ.ประวิตร และ พล.ต.ทรงพล วงศ์เทวัญคอแดงสาย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่โตมาจาก ร.31 รอ.ด้วยกัน แถมมีบทบาทสำคัญในการตั้ง ฉก.ทม.รอ.904 มากับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองราชเลขาธิการ สมัยเป็น ผบ.ทบ. ก็ถูกจับตามองว่า ในอนาคตจะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.ในอนาคต

รวมทั้ง ผบ.ตั้ง พล.ต.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ผบ.มทบ.11 น้องรักสายราบ 11 ของ พล.อ.อภิรัชต์อีกคนที่คาดว่าโผนี้จะขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1

จากเดิมที่คาดกันว่า พล.ต.ธวัชชัยจะย้ายระนาบมาเป็น ผบ.พล.1 รอ.ก่อนหรือไม่ เพราะอายุราชการยังเหลืออีกหลายปี แต่เมื่อ พล.ต.ทรงพลขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ต้องขึ้นพร้อมกัน เพราะทั้งคู่ก็ถูกมองว่าจะชิงแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.กันในอนาคต

รวมถึง ผบ.ใหญ่ พล.ต.อมฤต บุญสุยา ผบ.พล.ร.2 รอ. น้องรักสายทหารเสือคอแดง ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยถูกจับตามองว่าจะย้ายระนาบมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. หรือว่าจะขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 กลายเป็นแผงรองแม่ทัพภาคที่ 1 คอแดง ที่เป็นแคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.ในอนาคตกันเลยทีเดียว

แต่ทว่ายังมี ผบ.ปู พล.ต.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.พล.ร.11 ที่เป็นรุ่นพี่ ตท.26 ที่ก็จะขึ้นมาชิงรองแม่ทัพภาคที่ 1 อีกคน

โดยมีสัญญาณมาแรงมากว่า โผนี้เมื่อ พล.ต.ทรงพล ตท.27 ขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็จะมีรองไก่ พ.อ.วรยส เหลืองสุวรรณ รอง ผบ.พล.1รอ. ที่โตมาจากแดนบูรพาพยัคฆ์ อดีต ผบ.ร.2รอ. ซึ่งเป็น ตท.28 จะเป็น ผบ.พล.1 รอ.คนต่อไป ทั้งด้วยความสามารถ ผลงาน และพลังรุ่น เพราะนายทหารที่จะมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งเป็นกำลังหลักใน ฉก.ทม.รอ.904 ต้องมีหลายปัจจัยสนับสนุน

โผนี้จึงน่าจับตามอง ตท.28 ที่จะขยับลงตำแหน่งระดับผู้บัญชาการกองพล เช่น รองกอล์ฟ พ.อ.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ที่จ่อเป็นรอง ผบ.พล.ร.11 กองพลสไตรก์เกอร์นี้อยู่แล้ว

ทั้งหมดนี้หาใช่แค่ พล.อ.ณรงค์พันธ์จะตัดสินใจได้โดยลำพัง แม้เป็น ผบ.ทบ. แต่ยังต้องปรึกษาหารือ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร และโดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ที่แม้จะพ้นจาก ผบ.ทบ.ไปแล้ว แต่สายสัมพันธ์กับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็ยังคงแนบแน่น

เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังทำหน้าที่ในการช่วยดูแล สนับสนุนกองทัพ และ ผบ.เหล่าทัพอยู่ และในฐานะที่เคยเป็นนายทหารระดับอดีต ผบ.ทบ. ที่มีบทบาทในการตั้ง ฉก.ทม.รอ.904 และการกำเนิดทหารคอแดงขึ้นใน ทบ. แม้ว่าจะมีนายทหารในราชสำนักที่มีบทบาทเช่น พล.อ.อภิรัชต์อีกหลายคนก็ตาม

อีกทั้งสายสัมพันธ์ของ พล.อ.อภิรัชต์กับ พล.อ.ประยุทธ์ยังแนบแน่น ก็ยังคงปรึกษาหารือเรื่องการวางตัวผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ได้ เพราะกองทัพยังมีบทบาทและเป็นกำลังหลักในการปกป้องสถาบันด้วย

ยิ่งเมื่อมองอนาคตแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงต้องเป็นนายกฯ ต่อไปอีกสมัยหนึ่ง หรือนานกว่านั้น ก็จำเป็นจะต้องมีกองทัพเป็นกองหนุน และมี ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องระวังหลังว่าจะถูกรัฐประหารล้มอำนาจ

โดยที่ยังมีพี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตรเป็นแม่ทัพการเมือง คุมเกมการเมืองทั้งในพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐเอง เพื่อทำการเมืองให้มั่นคง ไม่สั่นคลอนเก้าอี้นายกฯ ไม่ว่าจะในรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้า

เพราะ พล.อ.ประวิตรเองก็อุตส่าห์เคลียร์ปัญหาในพรรค ค่อยๆ ลดจำนวนก๊กก๊วนต่างๆ ลง ทั้งกลุ่ม 4 ยอดกุมารที่บุกเบิกในการตั้งพรรคพลังประชารัฐ และออกหน้าแทนให้ แต่ที่สุด พล.อ.ประวิตรก็ทวงพรรคคืน มานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง

ก่อนที่ต่อมา กลุ่ม กปปส.ในพรรค ก็ถูกลดบทบาท ลบภาพออกไป เมื่อนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หลุดเก้าอี้ รมต. และเก้าอี้ในพรรค หลังถูกตัดสินคดีการชุมนุมของ กปปส.

แล้วที่สุดก็มาถึงกลุ่มสามมิตร ที่ถูกลดบทบาทมาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค รองหัวหน้าพรรค และ กก.บริหารพรรค

ส่วนเก้าอี้เลขาธิการพรรค พล.อ.ประวิตรก็ยกให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลูกรักมือขวาได้อย่างราบรื่น ด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดทางให้เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยไม่ต้องรอให้นายอนุชา นาคาศัย ลาออกจากเลขาธิการพรรคก่อน

เพราะเป้าหมายของ พล.อ.ประวิตรคือให้ ร.อ.ธรรมนัสมาเตรียมการสู้ศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ทั้งการเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เพื่อที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐได้มี ส.ส.มากที่สุดและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกสมัย

ถึงขั้นที่ ร.อ.ธรรมนัสประกาศที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.เข้ามามากที่สุดในสภา ตั้งเป้าไว้ที่กว่า 200 คน และเรียกขวัญกำลังใจของลูกพรรคด้วยการประกาศจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หากได้ ส.ส.มากพอ

ที่สอดคล้องกับกระแสข่าวภายในพรรคที่ว่า ร.อ.ธรรมนัสเล็งที่จะดูด ส.ส.ของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐให้ได้มากที่สุด ถึงขั้นที่ว่าจะดูดมาครึ่งหนึ่งของ ส.ส.ที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่เลยทีเดียว

ร.อ.ธรรมนัส เป็นประธานรุ่น ตท.25

หากดูจากสายสัมพันธ์ของ ร.อ.ธรรมนัส และ พล.อ.ประวิตรกับแกนนำในพรรคเพื่อไทย หรือนักการเมืองที่เคยอยู่ใกล้ชิดอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ก็มีแนวโน้มว่า หัวหน้าป้อมกับเลขาฯ นัส น่าจะทำได้ ยิ่งมีความพร้อมทั้งทุนและกำลังคนด้วยแล้ว

แต่ประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามคือการที่ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ปิดประตู ปิดโอกาสที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทยจะร่วมรัฐบาลแค่ 2 พรรคในอนาคต

“ไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องในอนาคต ผมยังไม่ได้คิด” พล.อ.ประวิตรกล่าว แทนที่จะประกาศว่าไม่มีทางร่วมงานกันได้

แม้ว่าโอกาสที่ 2 พรรคนี้จะร่วมรัฐบาลกันยาก แต่โอกาสที่จะดูด ส.ส.เพื่อไทยมาเข้าพรรคจะง่ายกว่าก็ตาม แต่ พล.อ.ประวิตรก็เลือกที่จะเปิดทางไว้

เพราะการที่ 2 พรรคตกลงกันในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบก็ดูจะเป็นสัญญาณหนึ่ง ที่สะท้อนว่าคุยกันได้

กระแสข่าวนี้อาจจะหวังผลแค่เตือน หรือขู่ให้พรรคขนาดเล็ก และพรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ พึงสังวรณ์ว่า ไม่ได้มีอำนาจต่อรองอีกต่อไป และอย่าเล่นเกมการเมืองมากนักก็เป็นได้

และยิ่งมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาฯ พรรค อะไรก็เกิดขึ้นได้

จนมีการจับตามองว่า หากพรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์จะยอมเป็นนายกฯ ของรัฐบาลนี้หรือไม่

เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอม ก็อาจจะให้ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีแทน จนเกิดกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัสมาเพื่อทำให้คน พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ

แต่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยืนยันแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็จะยังคงทำหน้าที่คุมเกมการเมืองให้ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป

กล่าวกันว่า แม้ พล.อ.ประวิตรจะดูไม่ค่อยแข็งแรง เดินขากะเผลกๆ เหมือนจะไปไม่ไหว แต่ความคิดโลดแล่น การวางหมาก กลยุทธ์ต่างๆ ในทางการเมือง จนสามารถครองอำนาจในกองทัพเบ็ดเสร็จยาวนาน ก่อนมายึดอำนาจรัฐหลังการรัฐประหาร และอยู่ยาวมาจนปัจจุบัน

ในอดีต บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยได้ฉายา “ขงเบ้งแห่งกองทัพ” มาตอนนี้ พล.อ.ประวิตรก็อาจจะเป็นขงเบ้งป้อม ที่เป็นทหารเก่า ที่มาสู้ศึกในสนามการเมือง และวางหมากได้อย่างแยบยล

แต่ พล.อ.ประวิตรไม่คิดว่าตนเองจะเทียบได้กับขงเบ้งขนาดนั้น เพราะตนเองไม่ใช่นักการเมืองโดยแก่นแท้ แต่เป็นทหารที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองให้บ้านเมืองเท่านั้น

กระแสข่าวที่จับจ้องว่า ร.อ.ธรรมนัสจะดัน พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ จึงเป็นแค่เกมที่จะทำให้พี่ป้อม น้องตู่หวาดระแวงกันเอง

เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรเคยปฏิเสธไม่รับเป็นนายกฯ หลังรัฐประหาร 2557 มาแล้ว เพราะรู้ตัวว่าสุขภาพไม่เหมาะ และรู้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมเป็นนายกฯ เอง พี่ใหญ่จึงถอยมาเป็นกองหนุนเท่านั้น

พล.อ.ประวิตรยืนยันตลอดว่า ไม่เคยคิดจะเป็นนายกฯ และเมื่อใดที่ พล.อ.ประยุทธ์จบภารกิจ หรือวางมือทางการเมือง เมื่อนั้นตนเองก็จะกลับบ้านพักผ่อนเช่นกัน

เพราะการที่ พล.อ.ประยุทธ์มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะมีบารมีของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่คอยโอบอุ้มอยู่ และคอยแก้ปัญหาต่างๆ ในทางการเมืองให้

แม้บางอย่างบางเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นข้อตกลงพี่-น้อง ที่ถ้าเป็นเรื่องการบริหารงานรัฐบาล ก็ให้สิทธิขาดในการตัดสินใจแก่นายกฯ แต่ถ้าเรื่องการเมือง สิทธิขาดอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร

3 พี่น้องจึงอยู่ด้วยกันได้ โดยจะยังไม่ขัดแย้งแตกแยก หรือแตกหักกัน เช่นในบางยุคสมัย เพราะมีบทเรียนมาแล้ว แตกกันเมื่อใด ก็นับถอยหลังเมื่อนั้น