“ชัชชาติ” ส่งมอบอุปกรณ์ PAPR ให้บุคลากรมีความเสี่ยงใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อ

วันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทีม #เพื่อนชัชชาติ ได้รับมอบอุปกรณ์ PAPR ที่ได้สั่งซื้อจากทีม ThaiMIC จำนวน 5 ชุด เพื่อนำไปมอบให้กับบุคลากรที่มีความเสี่ยงในการใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิดและต้องการใช้เครื่องกรองอากาศคุณภาพสูง โดยทีมงาน ThaiMIC คือคุณหมอเข็มชาติ คุณหมอสมยศ และคุณไพรัช(วิศวกร) เป็นเพื่อนสนิทกับผมตั้งแต่สมัยเรียนเตรียมอุดมห้อง 822 กรุณามามอบอุปกรณ์ด้วยตัวเอง

เรื่องรวมของอุปกรณ์ PAPR และ กลุ่ม ThaiMIC นี่น่าสนใจ และน่าจะเป็นประกายความหวังสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆของประเทศไทยในอนาคต

หมอสมยศเล่าว่า จากการที่ไวรัสโควิด 19 เริ่มระบาดเมื่อต้นปี 2563 จนเกิดการล็อคดาวน์ทั่วประเทศในครั้งนั้น ได้เกิดการรวมตัวของเหล่าจิตอาสา ที่มีทั้งแพทย์ วิศวกร สถาปนิกและนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เพื่อที่จะช่วยกันประดิษฐ์อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นและขาดแคลนหนักในระดับโลก ทีมดังกล่าวได้รวมกันตั้งชื่อว่า กลุ่มสหศาสตร์นวัตกรรมไทยต้านภัยโควิด19 (ThaiMIC) เริ่มประชุมและปรึกษาหารือกัน จนได้ผลิตภัณฑ์หลายรายการ ที่คิดว่าสามารถผลิตเองได้ในประเทศไทย จากเดิมที่พึ่งการนำเข้าเพียงอย่างเดียว

หนึ่งในนั้นคือ PAPR (Powered Air- Purifying Respirator) ซึ่งเป็นอุปกรณ์คล้ายหมวกมนุษย์อวกาศ ซึ่งจริงๆ คือเครื่องกรองอากาศให้บริสุทธิ์ เพื่อให้บุคคลากรทางการแพทย์สวมใส่ ในขณะที่ต้องเข้าไปปฏิบัติงาน หรือทำหัตถการอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิดเป็นเวลานาน (โดยใช้ร่วมกับชุด PPE) ซึ่งเดิมผลิตในต่างประเทศ และราคาขายในประเทศประมาณ 4-5 หมื่นบาท (ของทีมไทยมิคราคา 9,800 บาท) ซ้ำยังขาดแคลน เป็นที่ต้องการทั่วโลก

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อดีของชุด PAPR ที่ทีมไทยมิคร่วมผลิตกับสมาคมรับช่วงการผลิตไทย ที่มีคุณสมบัติและปลอดภัยตามมาตรฐานนานาชาติแล้ว ยังสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้มากกว่า 20 ครั้ง ในขณะที่ของต่างประเทศผลิตให้ใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง นับว่าเป็นการสูญเสียเม็ดเงินออกต่างประเทศจำนวนมาก
ผมทดลองใช้แล้วใส่สบาย อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีฝ้าไอน้ำเกาะ มองเห็นได้ชัดเจน และที่น่าภูมิใจคือเป็นฝีมือของคนไทย จิตอาสาล้วนๆ ที่จะช่วยกันหาทางออกให้กับวิกฤติของประเทศ และลงมือทำโดยไม่ต้องรอภาครัฐ

ผมเชื่อว่า คนเก่งส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในภาคราชการ หรือแม้แต่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่กระจายอยู่ในหลายๆที่ทั้งรัฐและเอกชน ภาครัฐอาจจะมีอำนาจตามกฎหมาย มีงบประมาณ แต่ไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจในทุกปัญหา ดังนั้น การยอมรับฟังและแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆทั้ง กลุ่มวิชาชีพ นักธุรกิจ นักวิชาการ และประชาชน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับปัญหาของประเทศได้ครับ
(อุปกรณ์เวลาใช้งานจริง ต้องใช้ร่วมกับชุด PPE นะครับ)