“อนุสรณ์” ย้ำรัฐบาลใช้เงินกู้ครั้งสุดท้ายให้เกิดประโยชน์

วันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รัฐบาลจะนำ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯในวันที่ 9 มิ.ย. ว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ปรับลดจาก 7 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 3 แผนงาน คือ 1. แผนงานแก้ไขปัญหาการระบาดละลอกใหม่ 30,000 ล้านบาท 2.แผนงานช่วยเหลือเยียวยาหรือชดเชยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ 300,000 ล้านบาท และ 3. แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 170,000 ล้าน พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ไม่ต่างจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลนำมาใช้ในปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้มีการสรุปการดำเนินการเพื่อรายงานให้กับประชาชนได้รับทราบ

รัฐบาลต้องวิเคราะห์ว่า มีปัญหาอะไรที่ควรป้องกันไม่ให้มาเกิดซ้ำกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้าน ตั้งแต่ใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทล่าช้า ใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปไม่ได้แก้ปัญหาตามเป้าหมายที่กำหนด ไม่สามารถป้องกันและแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัญหาการจัดหาวัคซีนล่าช้า วัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ การเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์รองรับผู้ป่วยล่าช้า ไม่ทั่วถึง การพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไม่เกิดผลสำเร็จ เพราะโครงการที่นำเสนอไม่ได้ทำให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ทั้งภาคการท่องเที่ยว การเยียวยาช่วยเหลือประชาชน การฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบการที่เดือดร้อน

“โอกาสที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะกู้ครั้งที่ 3 คงยากแล้ว เพราะเงินกู้เต็มวงเงิน 60% ของจีดีพีประเทศ รัฐบาลล้มเหลวจนกองเชียร์ชุดสุดท้ายยังตีจาก มีโอกาสที่จะกลับบ้านแบบโดดเดี่ยว จึงต้องใช้เงินกู้ครั้งสุดท้ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายอนุสรณ์ กล่าว

จี้รัฐบาล หยุดลับลวงพราง สร้างความหวังปชช.จะได้ฉีดวัคซีน

นายอนุสรณ์ ยังกล่าวถึงกรณี แผนบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ล้มเหลวสร้างความสับสนให้กับประชาชน รัฐบาลลับลวงพรางสร้างความคาดหวังให้กับประชาชนว่าจะได้ฉีดวัคซีนแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถบริหารจัดการให้สำเร็จตามที่ประกาศได้ ดีเดย์ 7 มิถุนายน ที่จะลุยฉีดวัคซีนปูพรมทั่วประเทศ ให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทย 65 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564 น่าจะเป็นไปได้ยากสัญญาการส่งมอบที่ทำไว้แอสตราเซเนกาจะส่งให้ประเทศไทยเดือนละ 6 ล้านโดส 10 ล้านโดส

แต่ลอตแรกมาแค่ 1.8 ล้านโดส ยังขาดอีกกว่า 4 ล้านโดส ต้องนำเข้าวัคซีนซิโนแวคมาเพิ่มจำนวน 11 ล้านโดส วัคซีนซิโนแวคจึงกลายเป็นตัวหลักแทนม้าเต็งอย่างแอสตราเซเนกา ผลักภาระให้โรงพยาบาลต้องไปแก้ปัญหาหน้างานกันเอาเอง โรงพยาบาลหลักในจังหวัดต่างๆ อาทิ ลำปาง เชียงใหม่ อุบลราชธานี นครปฐม และอีกหลายจังหวัด จึงแจ้งเลื่อนการฉีดวัคซีนเข็มแรกออกไปแบบไม่มีกำหนด วัคซีนดีเลย์ เกิดจากจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมีแค่ไม่กี่พันโดส

ขนาดประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ยังแกว่งขนาดนี้ โอกาสที่จะทันตามโปรแกรมที่รัฐบาลประกาศฉีดวัคซีนให้คนไทยครบ 70 เปอร์เซ็นต์ของ 65 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จึงเป็นไปได้ยาก รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้มีการใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือในการหาเสียงของนักการเมืองบางพรรค ที่เปิดลงทะเบียนวัคซีนแก่หัวคะแนนของตนเองโดยอ้างว่าเป็นโควต้าพิเศษ เกิดการลัดคิวฉีดวัคซีนเพื่อหวังผลสร้างคะแนนนิยมหรือไม่ ทั้งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้วัคซีนกระจายได้มากที่สุด แต่กลับเอาชีวิตคนมาเล่นกับการเมือง

“รัฐบาลเขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ แต่ตอบไม่ได้ว่าประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบเมื่อไหร่ จะเยียวยาอย่างไรจะนำไปสู่การปลดล็อคเมื่อไหร่ ผลักภาระให้แต่ละจังหวัดที่ขาดแคลนวัคซีนแก้ปัญหากันเอาเอง แผนบริหารจัดการวัคซีนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้และสื่อสารกับประชาชนอย่างจริงใจตรงไปตรงมา” นายอนุสรณ์ กล่าว