7 ปีที่ผ่านไป บทเรียนซ้ำๆ ที่ ‘ประยุทธ์’ ไม่เคยเรียนรู้

รายงานพิเศษ โดยพิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

“สําหรับ 7 ปีที่ผ่านมา บอกตามตรงว่ายังมองไม่เห็นอนาคต” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. มองอดีตสังคมไทยภายใต้ระบอบประยุทธ์ที่ผ่านมาแล้ว 7 ปีพร้อมแลไปข้างหน้า ว่าเห็นใจคนรุ่นใหม่ที่ต่อสู้เพื่อสังคมในอนาคต

ณัฐวุฒิมองว่าห้วงเวลาที่ยาวนานถึง 7 ปี มันเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่คนรุ่นใหม่เขากำลังจะสร้างความเติบโตให้กับตัวเอง ยกระดับชีวิตของตัวเองไปสู่อีกขั้นเพื่อความมั่นคงของชีวิตเพื่ออนาคตที่ดีกว่า แต่มาเจอแบบนี้ 7 ปี หมายความว่าถ้าเป็นนักเรียน ม.2 อายุ 14 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ในอำนาจจนจบปริญญาตรี นี่คือช่วงเวลาที่สูญเสียและมันไม่เป็นธรรมสำหรับคนรุ่นนี้

หรือถ้าขยับให้โตขึ้นมาหน่อย ถ้าผมเป็นนักศึกษาปี 1 ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2557 วันนี้ผมเรียนจบมาแล้วกี่ปี คิดดูว่าภายใต้กรอบอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีนี้ มีพื้นที่ของความฝันให้กับเยาวชนให้กับคนหนุ่ม-สาวหรือไม่?

ดังนั้น ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เสียหายร้ายแรงที่ไม่มีใครรับผิดชอบ

พล.อ.ประยุทธ์กับพวกอาจจะกำลังคิดว่าจะอยู่ในอำนาจจนพอใจแล้วก็เดินลงจากอำนาจกลับบ้านสบายๆ ทิ้งความเสียหายไว้ข้างหลัง

แต่คนที่เขากำลังเติบโตขึ้นมาเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าเขาจะต้องผลักล้มอำนาจในมือ พล.อ.ประยุทธ์และพวกให้ลงไปแล้วสร้างอำนาจรัฐจากมือประชาชนขึ้นมา สร้างความเปลี่ยนแปลงสังคมที่เขาเชื่อว่ามันจะทำได้ดีกว่า

และผมคิดว่าเราต้องฟังพวกเขา นอกจากเราไม่สามารถที่จะหยิบซากหรือส่งต่อสังคมที่งดงามให้ได้แล้ว เรายังจะปฏิเสธความพยายามในการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาจากตัวพวกเขาเองอีกหรือ?

ผมว่าเลอะเทอะเกินไปแล้ว ถ้าทำแบบนั้น

 

หลายเรื่องประยุทธ์-พวก

“รอด” ด้วยกระบวนการยุติธรรม

ที่สังคมตั้งคำถาม?

ต้องมองสมการแบบนี้ว่า ถ้าเปลี่ยน 7 ปีที่ผ่านมาเป็น 7 ปีของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-สมัคร-สมชาย คุณคิดว่ารัฐบาลจะรอดถึงวันนี้หรือเปล่า ผมคิดว่าไม่มีทาง! เอาแค่เรื่องรัฐมนตรีขี่ถุงแป้ง แล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแบบนี้ ถ้าอยู่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมว่าตั้งแต่ตัวนายกฯ และ ครม.ยกคณะไม่มีที่จะเดินแล้ว สิ่งนี้มันสะท้อนว่าตกลงประเทศนี้ใครใหญ่? ใครเป็นเจ้าของอำนาจตัวจริง

ในเมื่อประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่ในประเทศนี้มันไม่ใช่ ดังนั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีหลังพิงเดียวคือประชาชนมันจะล้มได้ง่าย อดีตนายกฯ แน่นอนแค่ไหนก็ไป

แต่รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง มีที่มาจากกลไกอำนาจนิยมอนุรักษนิยมและทฤษฎีการสมคบคิดที่ลึกซึ้งของสังคมไทย ต้านยังไงก็ไม่ไป

สถานการณ์ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เจอ ถ้าเป็นรัฐบาลปกตินี่เลือกตั้งใหม่กันแล้วไม่รู้กี่หน แต่นี่ยังอยู่ได้เพราะหลังพิงของพวกเขาไม่ใช่ประชาชน หลังพิงของพวกเราคือเครือข่ายอนุรักษนิยม อำนาจนิยมที่ยึดกุมโครงสร้างของสังคมไทยมานาน

นี่แหละมันชี้ให้เห็นว่าตกลงแล้วใครใหญ่จริง

 

แต่ทุกอย่างมันมีต้นทุนมีค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลประยุทธ์เสียไป ผมจึงไม่ได้มองว่า การต่อสู้ 10 กว่าปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องสูญเปล่านะครับ แต่มันเป็นเวลาที่สะสมชัยชนะของประชาชน

ถ้าเราย้อนดูจากจุดเริ่มต้นที่มีการออกมาต่อต้านการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 จนถึงวันนี้ผมคิดว่าเราก็เดินมาไกลแล้วพอสมควร

ตั้งแต่เริ่มมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ มี นปก. ต่อมาคือ นปช.คนเสื้อแดง และก็มี กปปส. ขบวนการประชาชนเหล่านี้ทุกเวทีต่างเคยเรียกและถามหาพลังคนหนุ่ม-สาว ต่างเคยถามหาพลังนิสิต-นักศึกษา แต่ไม่เคยปรากฏว่าพลังนี้จะไปแสดงการต่อสู้และจุดไหนเวทีใด

จนกระทั่งกลางปีที่แล้ว เราได้เห็นการปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนแหลมคม ซึ่งพลังนั้นเขาตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และส่งเสียงเรียกการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นเส้นทางที่พวกเขาจะเดินต่อ

นี่คือการต่อสู้ที่เข้าใจและเห็นใจ หลายคนใช้คำว่าเสียใจ อาจจะถึงขั้นเอ่ยว่าขอโทษต่อขบวนการการต่อสู้เสื้อแดงด้วยซ้ำไป นี่คือการเดินทาง

 

ในวันนี้ไม่มีการพูดถึงการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ ในเวทีของคนหนุ่ม-สาว หรือประวัติศาสตร์ระยะที่ใกล้กว่านั้นคือการต่อสู้ของ กปปส. นอกจากไม่มีการพูดถึงแล้ว ใครที่เคยร่วมแสดงออกทางการเมือง ณ วินาทีนั้น หลายคนพยายามออกมาปฏิเสธ หลายคนพยายามออกมาอธิบาย หลายคนพยายามปกปิดไม่พูดถึงมัน

บางคนยอมรับว่ามันเป็นความผิดพลาด

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าเวลา 10 ปีที่ผ่านมามันไม่ได้ไร้ค่า มันไม่ได้สูญเปล่า แต่มันยังต้องสู้ต่อไป ผมไม่แน่ใจนะว่าการต่อสู้ของคนหนุ่ม-สาวยุคนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย ยิ่งใหญ่

แต่ผมแน่ใจอย่างหนึ่งว่าพวกเขาไม่แพ้ และผมแน่ใจอีกอย่างหนึ่งว่าคนที่เติบโตมารุ่นตามๆ กัน ส่วนใหญ่ก็จะคิดไปในทางเดียวกันแบบนี้

ดังนั้น เราจึงจะเห็นพลังนี้มันเดินต่อไปข้างหน้าไม่ว่าจะนำโดยใคร หรือหนุ่ม-สาวในรุ่นต่อๆ ไป

ในทางกลับกัน ฝ่ายอำนาจควรจะต้องมองเห็น “สัญญาณนี้” เช่นเดียวกัน

และควรจะเกิดการเรียนรู้ให้ได้ข้อสรุปว่าท่านไปจัดการโดยความรุนแรง ปราบปรามเข่นฆ่าคุมขังไม่ได้ ไม่จบ!

 

ใครก็ตามที่อยู่ในเครือข่ายองคาพยพอำนาจปัจจุบัน เอาง่ายๆ ท่านหันกลับเข้าไปในบ้านของท่านลองคุยกับลูกกับหลาน คุยกับญาติเครือที่เป็นคนหนุ่ม-สาวแล้วหาคำตอบในใจแบบเงียบๆ ก็ได้ว่า คนรุ่นนี้เขาคิดอย่างไร

คนรุ่นนี้เขามองบ้านเมือง มองสังคมแบบไหน

ดังนั้น ถ้าหากเราตระหนักร่วมกัน วันนี้มันต้องคิดช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ได้คิดว่าจะเอาชนะหรือทำลายพลังที่กำลังต่อสู้นี้อยู่อย่างไร

ผมเชื่อว่าท่านทำลายไม่ได้ เอาไปขังได้ หรือถ้าพูดแรงไปหน่อย จะไล่ยิงไล่ฆ่าเหมือนที่ทำกับพวกผม ก็คงทำได้ แต่ท่านเองก็จะไม่ได้ชัยชนะ เด็กก็จะไม่แพ้ ท่ามกลางการบาดเจ็บล้มตาย ถูกจับกุมคุมขังมันก็จะเกิดพลังหนุนต่อเนื่องขึ้นมา

ดังนั้น สิ่งที่ดีกว่า ก็คือการร่วมกันสร้างสังคมใหม่ด้วยกัน จัดสมดุลทางอำนาจ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจให้ทุกคนทุกฝ่ายยังอยู่ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ต้องทำลายล้างให้พังพินาศกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร แล้วสิ่งนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อหลักการมันถูกต้อง ซึ่งหลักการที่ถูกต้อง ก็คือหลักการประชาธิปไตยที่เป็นสากลนี่แหละ มันไม่มีอะไรซับซ้อน

ผมเชื่อว่าถ้าเปิดใจกันจริงๆ ปรารถนาที่ดีกันจริงๆ ทุกคนทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันในสังคมใหม่นี้ได้ แต่ถ้าหากปิดกั้นทุกอย่าง ผมคิดว่า สถานการณ์ที่มันรออยู่ข้างหน้า มันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเป็นรอยแผลใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้ง

ไม่มีสังคมใดปฏิเสธกฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลงได้

วันนี้ ฝ่ายอำนาจเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย เรียกร้องให้เยาวชนอย่าละเมิดกฎหมาย

แต่ท่านคิดหรือไม่ว่าท่านกำลังไม่เคารพและท่านกำลังละเมิดต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจในการสถาปนากฎหมาย

แล้วสิ่งที่ท่านกำลังกระทำต่อประชาชนต่อคนหนุ่ม-สาวในวันนี้ ท่านทำในนามของกฎหมาย

นี่คือความอัปยศ ท่านกดขี่ รังแกประชาชนโดยกฎหมายซึ่งมาจากอำนาจของประชาชน ทำกี่ครั้งก็ผิดทุกครั้ง และผลลัพธ์ก็จะมีแต่กินตัวไปข้างหน้า

เป็นค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม สิ้นเปลืองไปมากทุกที

 

การต่อสู้ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่ามันยังต้องใช้เวลา ผมประเมินจากฝ่ายผู้มีอำนาจ ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย หรือเข้าใจบ้างแล้วแต่เจตนาที่จะแสดงออกว่าไม่เข้าใจ

ดังนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ พลังที่เขากำลังต่อสู้ เขาไม่หยุดหรอก เขาจะเดินต่อ แต่หากฝ่ายผู้มีอำนาจเลือกที่จะใช้กำลัง ใช้อำนาจกดทับอยู่ต่อไปแบบนี้ พื้นที่การเผชิญหน้ามันก็จะแคบเข้า แล้ววันใดวันหนึ่งมันก็จะอาจเกิดเป็นความเสียหายใหญ่อย่างที่เรากังวลแบบที่มันเคยเกิดมาแล้ว

ผมไม่ปรารถนาสิ่งนั้น

และผมเรียกร้องสันติภาพ

สงครามเวลาจะเกิดมันเกิดง่าย แต่ว่าเกิดแล้วมันไม่มีใครชนะ เกิดแล้วการต่อสู้ก็ไม่จบ สู้ว่าเราจบโดยการสร้างสังคมใหม่ภายใต้หลักการที่ถูกต้องอย่างที่ผมพูดออกไป

คือสังคมนี้ ทุกคนก็พูดว่า ทำทุกอย่างภายใต้หลักการประชาธิปไตย สิ่งที่ตัวเองยืนอยู่ก็คือ จุดยืนประชาธิปไตย

แม้แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แม้แต่คณะรัฐประหาร คสช. ก็บอกว่าทำการยึดอำนาจเพื่อประชาธิปไตย แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ประเทศใดก็ตาม ถ้าเราพูดเรื่องเสรีภาพ เราพูดเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม – พูดเรื่องหลักการประชาธิปไตยแล้วเป็นเรื่องไร้ค่ามาก

ถ้าขอบฟ้ามันแคบกว่าปีกนก ถ้าสายน้ำมันไหลทวนกลับแล้วคุณจะยอมรับว่าปลามันจะดำรงชีวิตอยู่ได้ในน้ำแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้

สังคมไทยที่กำลังพยายามทำให้พลังที่เขากำลังเติบโตขึ้นมายอมรับสิ่งแบบนี้ ซึ่งมันไม่มีที่ทางสำหรับฝูงนก พวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องการขอบฟ้าที่กว้างใหญ่เกินไปกว่าการขยับปีกบินโดยอิสระ ปราศจากการกดขี่กดทับ มุ่งหน้าไปตามที่ตัวเองหวังและฝัน แต่ไม่ได้ ก็เพราะขอบฟ้ามันดันมาแคบกว่าปีกนก

นกเหล่านี้ก็จะไม่หยุดกระพือปีก จะไม่หยุดส่งเสียง เขาจะพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ปีกของเขาร่อนบินไปได้ทั่วเส้นขอบฟ้า

แล้วเราจะฝืนธรรมชาติได้อย่างไร เราจะฝืนกฎเกณฑ์พวกนี้ได้อย่างไร

ผมคิดว่ามันอยู่ที่การคุยกัน กฎเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงที่ผมพูดถึงมันไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันที ผมไม่ได้กำลังบอกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะไม่เหลือที่ยืนให้กับใครอำนาจใดๆ เลยไม่ใช่

สิ่งที่ผมปรารถนาก็คือภายหลังความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นแล้วทุกอย่างยังอยู่ด้วยกันได้

แล้วมันจะเป็นแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อมันมีการพูดคุยกัน

ชมคลิป

https://bit.ly/33RlqXx