สงกรานต์จึงเงียบเหงา / เมนูข้อมูล นายดาต้า

เมนูข้อมูล

นายดาต้า

 

สงกรานต์จึงเงียบเหงา

 

สงกรานต์ปีนี้สำหรับประเทศไทยเรา นอกจากจะอดเล่นสาดน้ำกันแล้ว ยังเลยไปถึงการห้ามทำกิจกรรมอื่นๆ ทุกอย่างที่จะก่อให้มีการรวมกลุ่มกัน

โควิด-19 ระลอก 3 ดูจะรุนแรงกว่า 2 รอบแรก เหตุจากเชื้อกระจายไปในวงกว้างอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป เป็นเชื้อสายพันธุ์อังกฤษที่ติดง่ายกว่า และไม่แสดงอาการในเบื้องต้น

ที่สำคัญกว่านั้นคือสภาพเศรษฐกิจที่ทรุดหนักต่อเนื่องมายาวนานทำให้ไม่พร้อมที่จะล็อกดาวน์ธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนครั้งที่ผ่านมา

ด้วยน่าเป็นห่วงว่าหากทำเหมือนที่เคยทำ ความตึงเครียดของสังคมที่ผู้คนรับมือกับปัญหาปากท้องไม่ไหวจะทำให้ยากจะเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่หากถามว่าคนไทยรู้สึกอย่างไรกับสงกรานต์ที่ไม่มีกิจกรรม

 

“นิด้าโพล” สำรวจเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ยังไม่มีการระบาดรอบที่ 3 ของโควิดอย่างที่เป็นอยู่ ผลที่ออกมาน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน

ในคำถามที่ว่า “ท่านคิดว่ารัฐบาลควรอนุญาตให้เล่นสงกรานต์ 2564 หรือไม่” คำตอบร้อยละ 43.73 บอก ไม่ควรอนุญาตให้เล่นทุกพื้นที่, ร้อยละ 20.45 ควรให้เล่นเฉพาะพื้นที่ไม่มีการระบาด, ร้อยละ 17.87 ควรอนุญาตทุกพื้นที่แต่แบบ New Normal, ร้อยละ 10.80 เห็นว่าควรให้เล่นทุกพื้นที่อย่างอิสระ, ร้อยละ 7.15 ให้เล่นเฉพาะพื้นที่ที่ไม่มีการระบาดในรอบ 14 วันที่ผ่านมา

เมื่อถามว่ากังวลแค่ไหนหากรัฐบาลอนุญาตให้เล่นสงกรานต์ ร้อยละ 26.54 กังวลมาก ร้อยละ 38.02 ค่อนข้างกังวล ร้อยละ 18.78 ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 16.66 ไม่กังวลเลย

ในคำถามกังวลอะไรที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ร้อยละ 43.95 อุบัติเหตุบนท้องถนน, ร้อยละ 38.17 การระบาดของโควิด-19 ที่มากขึ้น ร้อยละ 15.29 ห่วงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจซบเซา, ร้อยละ 2.59 ห่วงอาชญากรรม

ในคำถามว่าระหว่างการเล่นน้ำสงกรานต์กับการป้องกันโควิดระบาด ให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากกว่ากัน ร้อยละ 82.28 ยอมหยุดเล่นน้ำสงกรานต์เพื่อป้องกันโควิดระบาด ร้อยละ 15.29 ย่อมเสี่ยงกับการติดโควิดเพื่อเล่นน้ำสงกรานต์ ร้อยละ 2.43 ไม่แน่ใจ

จากคำถามที่ว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรกับการไม่ได้เล่นสงกรานต์ จากผลสำรวจนี้จะพบว่าแม้ในวันที่สำรวจจะยังไม่มีการระบาดหนัก

คนไทยเราส่วนใหญ่ยังอยากอยู่อย่างระมัดระวังมากกว่า

 

นั่นหมายความว่าจิตสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่ไม่สร้างปัญหาให้กับตัวเองและส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความสนุกจนประมาทต่ออันตรายของชีวิต

มีเพียงคนบางกลุ่มบางพวกเท่านั้นขาดสำนึกจนสร้างปัญหาขึ้นมา

และส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกนิยมชมชอบในอบายมุข เนื่องจากการระบาดครั้งแรกเกิดที่สนามมวย ครั้งที่ 2 เกิดจากบ่อนการพนัน และครั้งที่สามเกิดที่สถานเริงรมย์

ปกติการท่องเที่ยวไปในแหล่งอบายมุขเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะหาทางปกปิด

แต่ในสถานการณ์นี้ ที่ต้องเปิดเผยตัวเองว่าไปไหนมาบ้างเพื่อผลการระมัดระวังป้องกันการแพร่ระบาด และผู้ที่ไม่เปิดเผย หรือไม่แจ้งไทม์ไลน์ตามความเป็นจริง ถือว่ามีความผิด

ใครเป็นใคร ใครชื่นชอบอบายมุข จะปกปิดตัวเองไม่ได้

ต้องเปิดเผยให้คนทั่วไปรับรู้