เครื่องเคียงข้างจอ : บทเพลงแห่งความเงียบงัน / วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

 

บทเพลงแห่งความเงียบงัน

 

ชื่อตอนตอนนี้ มาจากชื่อภาพยนตร์ที่ชื่อ “The Music of Silence” ที่สร้างเมื่อปี 2017

เป็นเรื่องที่นำมาจากชีวิตของนักร้องโอเปร่าชื่อดังชาวอิตาเลียน “อันเดรอา โบเชลลี” ที่เป็นนักร้องตาบอด ใครที่ชอบฟังเพลงในหลากหลายแนวคงจะรู้จัก

แม้โบเชลลีจะเป็นนักร้องเพลงคลาสสิค แต่เขาก็ไม่ได้ขีดเส้นตัวเองไว้แค่นั้น เขาได้ร้อง cover เพลงดังที่เป็นอมตะอีกหลายเพลง จึงทำให้ชื่อของเขารู้จักในวงกว้างมากขึ้น เช่น Can’t help falling in love, My Way, Time to Say Goodbye เป็นต้น

ในสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งโลกพากันล็อกดาวน์และหดหู่กับไวรัสร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นหลักล้านๆ คน เพื่อเป็นการให้กำลังใจในการต่อสู้กับสถานการณ์นี้ โบเชลลีได้จัดการแสดงคอนเสิร์ตออนไลน์จากมหาวิหารเมืองมิลานขึ้นในวันอีสเตอร์ 12 เมษายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่ผู้คนควรจะได้อยู่กับครอบครัว แต่ก็ไม่สามารถทำได้

คอนเสิร์ตวันนั้นมีผู้ติดตามจำนวนมาก นั่นเพราะเป็นแฟนของโบเชลลีเอง และเพื่อให้ได้ฟังเสียงร้องอันอบอุ่นที่สร้างกำลังใจให้คนฟังได้เป็นอย่างดี

ใครเคยฟังเขาร้อง จะต้องหยุดฟังอย่างตั้งใจ ถ้าสมัยนี้เขาจะเรียกว่า “เสียงหล่อ” แต่ไม่ใช่แค่เสียงหล่ออย่างเดียว หากเขามีเนื้อเสียงที่ทุ้มนุ่มกังวานและมีพลัง อย่างที่นักร้องโอเปร่าพึงเป็น

นักร้องดังอย่างซีลิน ดิออน ที่ได้ร่วมร้องกับโบเชลลี ในเพลง The Prayer กล่าวว่า

“ถ้าพระเจ้าเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา ต้องมีเสียงเหมือนกับอันเดรลามากๆ แน่นอน”

 

ในหนังเรื่องนี้เล่าประวัติชีวิตของเขาแบบไม่ได้ซับซ้อนอะไร เล่าไปตามช่วงเวลาตั้งแต่เขาเกิดที่เมืองทัสคานี ประเทศอิตาลี มีชื่อว่า “อาโมส บาร์ดี” จากนั้นก็ค่อยๆ เติบโต และเป็นนักร้องดัง

ตอนเกิดมาได้ 5 เดือน พ่อ-แม่ของอาโมสรู้สึกว่าลูกคนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เพราะร้องไห้ไม่หยุด แม้จะไม่ได้เป็นคำพูด แต่ผู้เป็นมารดาก็รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงที่มาจากอาการป่วย

คุณหมอบอกว่าเขาเป็นต้อหิน ต้องทำการผ่าตัด แต่ก็ไม่แน่ว่าจะหายไหม

ที่โรงพยาบาล เด็กน้อยที่มีผ้าพันรอบดวงตาทั้งสองข้างยังคงร้องโยเยบนเตียง แต่พลันก็เงียบเสียงลง พร้อมเอาหน้าไปแนบกับผนังหัวเตียง

ในห้องผู้ป่วยที่อยู่ติดๆ กัน กำลังเปิดแผ่นเสียงเพลงคลาสสิค เสียงนั่นสามารถสะกดความสนใจของเด็กน้อยได้จนลืมความเจ็บปวด

แม้จะผ่านการผ่าตัดมาแล้วก็ไม่เป็นผล ตาข้างหนึ่งบอดสนิท และอีกข้างมองเห็นได้รางๆ แค่ 10% เท่านั้น นั่นทำให้การเลี้ยงดูจากพ่อ-แม่ต้องเปลี่ยนไป ถึงอย่างนั้นคนที่คอยให้กำลังใจเขาคือพ่อที่บอกว่า ไม่ว่าจะยังไงก็ตามลูกต้องไปให้ไกลกว่าคนอื่นๆ ถ้าคนอื่นแค่ข้ามเนิน แต่ลูกต้องปีนภูเขา

นี่เองที่ทำให้เขาไม่อยากเป็นแค่หมอนวด หรือคนขายล็อตเตอรี่ แต่อยากเป็นนักร้อง

 

อีกคนหนึ่งที่มีส่วนปลูกฝังและผลักดันเขาอย่างมากให้มาทางสายดนตรีคือลุงของเขาที่ชื่อ “จิโอวานนี่” ผู้ชื่นชอบเพลงคลาสสิค ยามที่อาโมสได้รับประทานซุปที่เขาปฏิเสธการกินมาตลอดบอกว่าไม่อร่อย แต่เมื่อรับประทานพร้อมฟังเพลงคลาสสิคที่ลุงเขาเปิด เขาก็รับประทานมันจนหมดจานได้

ความสามารถในการร้องเพลงของเด็กชายอาโมสปรากฏขึ้นเมื่อพ่อ-แม่ตัดสินใจส่งเขาไปเรียนแบบกินนอนที่โรงเรียนสำหรับคนตาบอดโดยเฉพาะที่ต้องฝึกเรียนด้วยอักษรเบรลล์ เขามีกิจกรรมกับเพื่อนๆ ตามประสาเด็กชาย เช่น เตะฟุตบอล และตามแนวทางของโรงเรียนคือ การร้องเพลง

ครูผู้สอนร้องเพลงถึงกับดึงเขาออกมาจากกลุ่มเพื่อนเพื่อให้ร้องเดี่ยว เพราะน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นจากคนอื่นของเขานั่นเองจนได้ขึ้นโชว์บนเวทีของโรงเรียน

และจากกิจกรรมเตะฟุตบอลนี้เอง เขาโดนลูกบอลอัดเข้าที่ดวงตา และนั่นทำให้ดวงตาข้างที่พอจะมองเห็นบ้างต้องมืดสนิทลง

เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เขาพยายามช่วยเหลือตัวเอง ไม่พึ่งพาคนอื่น แม้แต่การขี่ม้าที่เขาก็สามารถขึ้นบนหลังอานได้เอง และควบม้าให้วิ่งตะบึงไป ตามมาด้วยการขี่จักรยานที่ทำให้เขารู้สึกมีอิสรเสรีในชีวิต

 

ลุงจิโอวานนี่พาเขาไปประกวดร้องเพลงในการแข่งขันประจำเมืองทัสคานีที่เขาอาศัยอยู่ และเขาก็เป็นผู้ชนะเลิศ จากนี้เขาก็ก้าวไปแข่งในเวทีที่ใหญ่ขึ้น นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นอย่างแท้จริงว่าเขาจะเป็นนักร้องโอเปร่า

แต่อุปสรรคที่ทำให้ความตั้งใจของเขาสะดุดลง คือ “เสียงแตก” อันเป็นธรรมชาติของเด็กผู้ชายที่ย่างสู่วัยรุ่น เขาร้องเพลงไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่ เขาจึงจำใจละทิ้งมันไปอย่างเสียดายและหันไปใช้เวลากับการเรียนหนังสือให้จบ

โบเชลลีเรียนจบวิชากฎหมายมาได้ และตั้งใจจะใช้อาชีพทนายเป็นเครื่องหาเลี้ยงตัว แต่ขณะเดียวกัน เพื่อนของเขาที่ชื่อ “อาดริอาโน” ที่เป็นนักกีตาร์ ได้ชวนเขามาร่วมเล่นเปียโนและร้องเพลงหาเงินกันกับเขาในคลับของคนกลางคืน

จึงทำให้เขายังคงวนเวียนอยู่ในโลกของดนตรีและเสียงเพลงอยู่

 

ที่คลับนี่เองทำให้มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเขาหลายอย่าง ได้แก่ การได้เจอกับ “เอเลน่า” ที่มาเลี้ยงฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ และได้ฟังเขาร้องเพลงที่สร้างความประทับใจให้กับแขกในร้านอย่างมาก รวมทั้งเธอด้วย เธอเชิญเขามานั่งร่วมวงที่โต๊ะกับเพื่อนๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของหนุ่ม-สาวที่ต่อมาได้พัฒนาจนแต่งงานกัน และเป็นคู่ชีวิตมาจนถึงบัดนี้

และก็ที่คลับนี้เอง ที่ลุงของเขาได้พาแมวมองที่หานักร้องเสียงดีแนวโอเปร่าเข้าสู่วงการมาฟังการร้องของเขา แม้วันนั้นเขาจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับแมวมองคนนี้ พร้อมได้รับการวิจารณ์ตรงๆ ว่า เขาขาดทุกอย่างของการเป็นนักร้องโอเปร่า โดยเฉพาะความรู้สึกในการร้องเพลง

แน่นอนที่เขาจะผิดหวัง แต่นั่นทำให้เขารู้สึกมุ่งมั่นที่จะแก้ไขตัวเองเพื่อลบคำวิจารณ์นั้นให้ได้

 

และเขาก็ได้มีโอกาสพบกับครูสอนร้องเพลงชื่อดังชื่อ “มาเอสโตร” ที่แสดงโดยพระเอกหนุ่ม “อันโตนีโอ แบนเดอรัส” ที่ช่วยฝึกการร้องเพลงแบบโอเปร่าที่ถูกวิธีให้กับเขา แบนเดอรัสสร้างความน่าสนใจให้กับตัวละคร “มาเอสโตร” นี้ได้อย่างดี คำพูดและความมุ่งมั่นของเขาได้ปลุกพรสวรรค์ในตัวของอาโมสให้ฉายแสงออกมา

เขาบอกว่าต้องร้องเพลงด้วยร่างกาย ต้องรู้สึกกับทุกคำที่ร้องออกไป ต้องฝึกฝนทุกวัน ห้ามสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ได้เมื่อเขาอนุญาต และนั่นคือการสร้างโบเชลลีให้โด่งดังในเวลาต่อมา

แน่นอนที่ชีวิตย่อมไม่ราบรื่นเรียบง่าย อาโมสต้องเผชิญกับความผิดหวังจากโอกาสแจ้งเกิดจริงๆ จนเขารู้สึกท้อถอย หากไม่ได้กำลังใจจากภรรยาคือเอเลน่า ที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ

และในที่สุดเขาก็ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับในเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เคียงข้างไปกับนักร้องโอเปร่าดังรุ่นพี่อย่างพาวาร็อตติ

 

ในตอนท้าย ได้นำภาพการแสดงจริงของโบเชลลีมาใส่ในภาพยนตร์ด้วย รวมทั้งภาพชีวิตของเขาที่ก้าวสู่ความสำเร็จเป็นที่ยอมรับ นั่นก็มาจากจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของเขา บวกกับความทะเยอทะยานที่จะต้องไปให้ได้ไกลว่าคนอื่น ใช่ เขาได้ปีนจนถึงยอดภูเขาแล้ว

สำหรับผู้รับบทอาโมส บาร์ดี หรือโบเชลลีในเวลาต่อมาคือ “โทนี่ เซบาสเตียน” เป็นทั้งนักร้องและนักแสดงชาวอังกฤษวัย 29 ปี หลายๆ คนอาจจะคุ้นหน้าเขาจากซีรีส์ฟอร์มยักษ์อย่าง Game of Thrones ในบทของ Trystane Martell นั่นเอง

เรื่องนี้เซบาสเตียนได้โชว์ความสามารถในการร้องเพลงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็นับว่าเขาทำได้ไม่เลวกับการร้องแบบโอเปร่าที่ต้องใช้ทักษะอย่างมาก

กำกับภาพยนตร์โดยผู้กำกับฯ ชาวอังกฤษ ไมเคิล แรดฟอร์ด ที่เคยฝากผลงาน The Merchant of Venice ที่มี Al Pacino นำแสดงในบทยิวไชล็อก

 

ผู้ที่สนใจน่าจะหาชมย้อนหลังกันได้นะครับ หรือไม่ใครที่ติดกล่องทรู ก็ลองวนเวียนดูเพราะมักจะมีหนังดีๆ ย้อนมาให้ชมกันเสมอ

ตัวหนังอาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ภาพสวยด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นสดใสแบบชนบทของอิตาลี แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่าคือ การนำมาจากชีวิตจริงของอันเดรอา โบเชลลี นี่เอง ที่ทำให้เราชมแล้วรู้สึกมีพลังในการต่อสู้กับชีวิต และอุปสรรคที่เข้ามา

ชอบบทที่เขาพูดกับเอเลน่าในตอนที่จีบกัน เขาบอกว่า เขาไม่ได้ชอบเพราะความสวย เพราะเขามองไม่เห็น แต่เขารู้สึกได้ว่า…เธอสวย

บางทีภาพที่เรามองเห็นก็สร้างมายาลวงให้กับเราได้เหมือนกัน

หากเราไม่ได้ตัดสินจากสิ่งที่เห็น แต่สัมผัสไปให้ถึงด้วยหัวใจและความรู้สึก เราอาจจะได้พบความจริงแท้ของชีวิตก็ได้