ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
ยุทธศาสตร์มะกันสกัดจีน
จากเอกสาร (ที่เคยตีตรา ‘ลับ’)
สัปดาห์ก่อน ผมเขียนถึงการกลับมาของ Mr Asia ของรัฐบาลสหรัฐในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน
เขาชื่อ Kurt Campbell อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศดูแลกิจการเอเชียตะวันออกในยุคของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
วันนี้ในหมวกใบใหม่ แคมป์เบลได้ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่ Indo-Pacific Coordinator ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เป็นตำแหน่ง “ผู้ประสานงานว่าด้วยกิจการอินโด-แปซิฟิก” เพื่อบูรณาการนโยบายของสหรัฐต่อภูมิภาคนี้
โดยมีเป้าหมายหลักคือการสกัดการเติบใหญ่ของจีนในทุกๆ ด้าน
แต่ขณะเดียวกันก็พยายามวางแนวทางให้วอชิงตันทำงานร่วมกับปักกิ่งในด้านที่จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ
แนวทาง 3 Cs จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นั่นคือ Cooperation (ความร่วมมือ), Competition (การแข่งขัน)
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด C ตัวที่สาม นั่นคือ Confrontation (การเผชิญหน้า)
การแต่งตั้งแคมป์เบลในตำแหน่งนี้เป็นจังหวะเดียวกับที่มีการ “ลดชั้นความลับ” ของเอกสารสำคัญที่วางเป็นยุทธศาสตร์สำหรับของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2018 ซึ่งนำไปสู่ “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐกับจีน
เอกสารฉบับนี้มีความน่าสนใจตรงที่ว่าสหรัฐระบุชัดเจนว่าคู่แข่งหมายเลขหนึ่งของสหรัฐคือจีน
และแนวทางการไม่ให้ปักกิ่งสยายปีกออกไปได้ของสหรัฐคือการทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้จีนสามารถก้าวขึ้นมาเคียงบ่าเคียงไหล่อเมริกาเป็นอันขาด
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าไทยเราได้รับการกล่าวถึงในโครงสร้างแห่งยุทธศาสตร์นี้น้อยไป
สมควรจะเป็นข้อเตือนใจผู้วางนโยบายไทยว่ามีประเด็นอะไรที่จะนำไปสู่การปรับแก้นโยบายของไทยต่อมหาอำนาจอย่างไรหรือไม่
หรือการถูกกล่าวถึงน้อยอาจจะเป็นข้อดีในแง่ที่ว่าเราไม่ถูกมองว่าเป็นตัวละครแห่งความขัดแย้ง?
เอกสารที่ว่านี้มีชื่อเป็นทางการว่า “เค้าโครงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก”
เป็นเอกสารที่ได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018
เพิ่งจะถูกปลดจากชั้น “ลับ” เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 12 มกราคมปีนี้
หากไม่มีการถอดชั้นความลับ เอกสารนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับไปจนถึงปี 2043 ทีเดียว
ผมอ่านเอกสารทั้ง 10 หน้าแล้วก็จับประเด็นจากข้อความบางส่วนถูกลบออกไปเพื่อรักษาความลับทางการสหรัฐ
แต่ก็พอจะเห็นภาพรวมของ “พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เปิดกว้างและเสรีในอินโด-แปซิฟิก” (Open and Free) ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ทำขึ้นในปี 2017
หลักการใหญ่ของนโยบายนี้คือผลประโยชน์ของสหรัฐในอินโด-แปซิฟิกจะต้องหมายถึง
การปกป้องมาตุภูมิและพลเมืองสหรัฐในต่างประเทศ
ป้องกันไม่ให้อาวุธนิวเคลียร์แพร่หลาย
คงไว้ซึ่งการเข้าถึงทางเศรษฐกิจ การทูต การทหารของสหรัฐในภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีสัดส่วนเศรษฐกิจโลกมากกว่า 1 ใน 3
รักษาความเป็นหนึ่งของสหรัฐในภูมิภาค
ปกป้องค่านิยมอเมริกันและเสรีภาพในประเทศ
อ่านเนื้อหาแล้วจับความว่าสหรัฐไม่ได้มองเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามสหรัฐและพันธมิตรมากนัก
และเห็นอินเดียเป็นชาติที่มีอิทธิพลในเอเชียใต้ที่ควรจะเป็นแกนนำในการรักษาความมั่นคงในมหาสมุทรอินเดีย
เอกสารนี้วางจุดยืนให้สหรัฐสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อต่อต้านพฤติกรรมบ่อนทำลายอธิปไตยผ่านการบีบบังคับของจีน
ไม่ต้องสงสัยว่าสหรัฐระบุถึงความท้าทายด้านความมั่นคงของสหรัฐจากจีนเป็นหลัก
สหรัฐกลัวจีนเรื่องอะไรบ้าง?
เอกสารชุดนี้ชี้ให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก
วิเคราะห์ว่าจีนมีเป้าหมายจะทำลายพันธมิตรและความร่วมมือของสหรัฐในอินโด-แปซิฟิก
จีนต้องการฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จาก “สุญญากาศ” ในภูมิภาคนี้หากสหรัฐเอาตัวเองออกห่างไปจากเอเชีย
นักยุทธศาสตร์สหรัฐมองว่าอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การทูต และการทหารของจีนจะเติบใหญ่อย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้
นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายผลประโยชน์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้
เป็นที่มาของคำเตือนว่าจีนจะกดดันให้ไต้หวันผนวกรวมกับจีนแผ่นดินใหญ่หนักขึ้นอย่างแน่นอน
แนวทางของวอชิงตันในการสกัดจีนต้องทำอะไรบ้าง?
เอกสารชุดนี้บอกว่าสหรัฐจะจับมือกับพันธมิตรและประเทศที่มีแนวคิดเดียวกันอย่างใกล้ชิดโดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งไม่ให้จีนสร้างแสนยานุภาพทางกองทัพและยุทธศาสตร์เพิ่มขึ้น
ปฏิบัติการด้านทหารอย่างเดียวไม่พอ เอกสารบอกว่าสหรัฐจะต้องตอบโต้จีนทั้งทางด้านการค้าและการทหารไปพร้อมๆ กัน
สหรัฐยกตัวอย่างของจีนที่ใช้วิธีปฏิบัติทางการค้า “ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งอาจทำลายตลาดโลก
อเมริกายังมองว่าจีนพยายามครอบครองเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ และชีวพันธุศาสตร์
สหรัฐบอกว่าการรุกคืบของจีนด้านต่างๆ เหล่านี้ “เป็นอันตรายต่อสังคมเสรีประชาธิปไตย”
มีหรือที่ผู้นำจีนได้อ่านเอกสารชุดนี้แล้วจะอยู่นิ่งเฉย
เกือบจะทันใดนั้นโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนก็ออกหมัดโต้ว่า
เนื้อหาของเอกสารพิสูจน์ให้เห็นว่าวอชิงตันมีความมุ่งร้ายต่อจีนและต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อควบคุมจีน
จีนบอกว่าอเมริกาพยายามจะบ่อนทำลายความสงบและมั่นคงของภูมิภาค
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนประกาศว่า “เอเชีย-แปซิฟิกเป็นเวทีสำหรับให้สหรัฐและจีนเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นปะโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่สนามประลองหาคนแพ้ชนะ”
อ่านเอกสารแล้วจะเห็นว่าสหรัฐมองอินเดียเป็นหุ้นส่วนสำคัญของแนวนโยบายนี้
วอชิงตันต้องการจับมือกับอินเดียปกป้องความมั่นคงทางทะเลและตอบโต้อิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้
ไม่ต้องสงสัยว่าอเมริกาพร้อมจะเสริมเขี้ยวเล็บทางทหารให้อินเดียเพื่อให้เป็นหุ้นส่วนหลักด้านการป้องกันผลประโยชน์ของสหรัฐ
แน่นอนว่าไต้หวันคือหัวข้อสำคัญสำหรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐในเอเชีย
เป็นที่มาของยุทธศาสตร์ขัดขวางไม่ให้จีนครอบงำน่านฟ้าและทะเลภายใน “สายโซ่วงล้อมชั้นแรก”
นั่นหมายถึงหมู่เกาะตลอดแนวของญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไปจนถึงเกาะบอร์เนียวซึ่งอยู่ล้อมรอบชายฝั่งของจีน
เอกสารยังตอกย้ำถึงความจำเป็นที่อเมริกาจะช่วยให้ไต้หวันสามารถพัฒนายุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้มั่นใจว่าไต้หวันจะปลอดภัย ไม่ถูกบีบบังคับ
และที่สำคัญคือ ไต้หวันต้องพร้อมรับมือกับจีนได้ด้วยตัวเอง
ต่อเกาหลีเหนือ เอกสารบอกว่าสหรัฐจะใช้วิธีน้าวโน้มให้เปียงยางเห็นว่าหนทางเดียวที่จะรอดจากหายนะคือการล้มเลิกการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ยุทธศาสตร์ของสหรัฐยังอยู่ที่การเพิ่มแรงกดดันเกาหลีเหนือทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร การบังคับใช้กฎหมาย และเครื่องมือด้านข้อมูลข่าวสาร
หนึ่งในมาตรการคือการเสริมแสนยานุภาพทางกองทัพให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่น
ทะเลจีนใต้ก็เป็นหัวข้อสำคัญในเอกสารชุดนี้
สหรัฐจะส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทความเป็นศูนย์กลาง (centrality) ของอาเซียนในด้านโครงสร้างความมั่นคง
จะช่วยเพิ่มความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน
และส่งเสริมโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิกที่เป็น”ทางเลือกที่น่าเชื่อถือ” แทนโครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ของจีน
เห็นได้ชัดว่าอเมริกาเห็นโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับสหรัฐ
สหรัฐไม่ลืมที่จะให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอาเซียน รวมทั้งการบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีมาตรฐานทางการค้าและการลงทุนที่กำหนดโดยสหรัฐ เพื่อให้อาเซียนลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากจีน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ตลอดช่วง 4 ปีของทรัมป์นั้นอาเซียนเห็นว่าสหรัฐ “เอาตัวออกห่าง” จากภูมิภาคนี้ไปอย่างชัดเจน
รัฐบาลโจ ไบเดน จะเขียน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ใหม่ขึ้นมาทดแทนชุดความคิดของรัฐบาลทรัมป์อย่างไร อีกไม่นานก็ได้รู้กัน