ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
โฟกัสพระเครื่อง/โคมคำ [email protected]
เหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2504
หลวงพ่อย่น ฐิตปัญโญ
วัดบ้านฆ้อง โพธาราม
“พระครูพิพิธธรรมาภิรม” หรือ “หลวงพ่อย่น ฐิตปัญโญ” อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้อง ต.บ้านฆ้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พระเกจิชื่อดัง ต้นตำรับเหรียญเต่า แห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลอง
ด้านวัตถุมงคลมีหลายรูปแบบทั้งเหรียญ, เหรียญพระนาคปรก ล็อกเกต ฯลฯ แต่ที่สร้างชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ “เหรียญเต่า”
กล่าวได้ว่า หลวงพ่อหลิว ปัณณโก วัดไร่แตงทอง มีวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือ พญาเต่าเรือน
สำหรับหลวงปู่หลิวเคยฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาการสร้างวัตถุมงคลเต่ามาจากหลวงพ่อย่น วัดบ้านฆ้อง นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เหรียญหลวงพ่อย่นรุ่นแรก ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยความที่มีชาวบ้านให้ความศรัทธาเป็นจำนวนมาก เหรียญพระได้รับความเลื่อมใส นำไปคล้องติดคอ
รุ่นแรก จัดสร้างในปี พ.ศ.2504 ที่ระลึกในงานวางศิลาฤกษ์โรงเรียนวัดบ้านฆ้อง สร้างเป็นลักษณะเหรียญทรงเสมา แบบมีหูในตัว ปั๊มตัดขอบ สร้างด้วยเนื้อโลหะ เนื้อทองแดง และเนื้อฝาบาตร มีทั้งกะไหล่เงินและกะไหล่ทอง จำนวนการสร้างไม่ได้ระบุไว้
มี 2 พิมพ์ด้วยกัน คือ พิมพ์ห่มดองและพิมพ์ห่มคลุม
ลักษณะเป็นเหรียญเสมา มีหูห่วง ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนหันหน้าตรง ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนเขียนคำว่า “หลวงพ่อย่น” ด้านล่างเขียนคำว่า “พระครูพิพิธธรรมาภิรม”
ด้านหลัง มีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ และมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “ที่ระลึกในงานวางศิลาฤกษ์โรงเรียน วัดบ้านฆ้อง”
ปัจจุบันนับเป็นที่นิยมและหายากในพื้นที่
สําหรับอัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันพุธที่ 18 เมษายน 2431 ที่บ้านฆ้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เล่าเรียนศึกษาที่วัดในหมู่บ้าน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นบวชเป็นสามเณรศึกษาเล่าเรียนที่วัดบ้านฆ้องได้ 3 ปีเศษ
อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันศุกร์ ปี พ.ศ.2451 อยู่ในปกครองพระอธิการปัด วัดบ้านฆ้อง ปฏิบัติศึกษาเล่าเรียนตามกิจ ลงอุโบสถ สวดมนต์ภาวนาอยู่เป็นนิจมิได้ขาด จนสามารถขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่ในพรรษาแรก
พรรษาที่ 2 มีความรู้เรื่องงานช่างไม้ ช่วยพระอาจารย์สร้างโบสถ์ ทำใบฎีกา ช่อฟ้า ทำด้วยตนเองไม่ต้องจ้างช่าง
พรรษาที่ 3 เล่าเรียนภาษาขอม แปลอธิบายพระปาฏิโมกข์ แล้วก็ได้จารเขียนหนังสือเป็นตัวขอมโบราณ หนังสือเจ็ดตำนาน และหนังสือพระปาฏิโมกข์ เขียนด้วยมือของหลวงพ่อเอง สร้างไว้ในพระพุทธศาสนา
พรรษาที่ 4 กราบลาพระอาจารย์จากวัดบ้านฆ้อง เพื่อเดินทางออกธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมยังสถานที่อื่นๆ เดินทางมาอยู่ที่วัดสระสี่เหลี่ยม อ.สามแก้ว จ.นครปฐม (ปัจจุบันคือ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม) อยู่ในปกครองของพระอธิการวัดสระสี่เหลี่ยม ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสระสี่เหลี่ยมได้ 2 ปี
พ.ศ.2457 กราบลาเจ้าอาวาสวัดสระสี่เหลี่ยม ออกเดินทางไปปฏิบัติธรรมยังสถานที่อื่นๆ เดินทางขึ้นไปทางเหนือ แวะพำนักพักอาศัยอยู่ที่วัดสมอบท บ้านเสี้ยน แขวงเมืองชัยนาท (ปัจจุบันวัดสมอบทแห่งนี้เป็นโบราณสถานอยู่ใน ต.หนองแซง อ.หันคา จ.ชัยนาท) เป็นวัดร้างอยู่ในพื้นที่ป่าทุรกันดาร
แวะพักอาศัยอยู่ พวกชาวบ้านทั้งหลายต่างพร้อมใจนิมนต์ให้เป็นสมภารที่วัดสมอบท
รับปกครองพระอารามเป็นเวลา 4 ปีบริบูรณ์
พ.ศ.2461 เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดบ้านฆ้อง อยู่ในการปกครองของพระอธิการชื่น เจ้าคณะตำบลบ้านฆ้อง ช่วยปฏิสังขรณ์กุฏิสงฆ์ ก็มีคนเดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาเป็นสมภารปกครองที่วัดแห่งอื่นอีก
กระทั่งในปี พ.ศ.2469 พระอธิการชื่นมรณภาพ จึงรับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้องตั้งแต่นั้นมา อยู่ในการปกครองของเจ้าคณะอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีวัดที่ขึ้นอยู่ในการปกครองทั้งหมด 6 วัด มีโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม มีครูสอนอยู่ในวัดทุกปีมิได้ขาด ปฏิบัติสวดมนต์อยู่เป็นนิจ มีอุบาสก-อุบาสิกา รักษาศีลอุโบสถในพรรษาทุกปี
พ.ศ.2472 ได้รับตราตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านฆ้อง
สร้างหอระฆังขึ้นอีก 1 หลัง เป็นแบบอิฐและปูน สร้างด้วยมือของตนเอง ร่วมมือร่วมใจกับญาติโยมสร้างขึ้นมาจนสำเร็จ
พ.ศ.2476 พร้อมใจกับชาวบ้านช่วยกันเฉลี่ยทรัพย์กันตามศรัทธาร่วมสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้นอีก 1 หลัง เป็นแบบมุงกระเบื้อง
พ.ศ.2483 สร้างโรงเรียนสอนเด็กขึ้นมาอีก 1 หลัง แต่ยังไม่ได้ทาสี เนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลก ข้าวของหายาก ก็สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2484
พ.ศ.2485 ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูพิพิธธรรมาภิรม
ในปี พ.ศ.2506 อนุสรณ์อีกหนึ่งชิ้นสำคัญที่หลวงพ่อได้สร้างไว้ คือ ได้สร้างโรงเรียนวัดบ้านฆ้องขึ้น (ปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม) ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2506 ปัจจุบันยังคงเปิดให้มีการเรียนการสอนอยู่ นับว่าเป็นสถานที่ที่มีคุณประโยชน์ต่อลูกหลานในเขตอำเภอโพธารามเป็นอย่างมาก
มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2509
สิริอายุ 78 ปี พรรษา 57