ครัวอยู่ที่ใจ : ทางรอดอยู่ในครัว : จงเดินเข้าครัว / อุรุดา โควินท์

ทางรอดอยู่ในครัว

: จงเดินเข้าครัว

ในช่วงเวลาแบบนี้ ฉันสนับสนุนให้ทุกคนแต่งหน้า ใช่ แม้ว่าเราทำงานอยู่บ้าน ฉันหมายถึง คนที่มีเครื่องสำอางอยู่เต็มกระเป๋า เต็มโต๊ะ หรือมีอยู่บ้าง หยิบมันขึ้นมา ใช้เวลาสิบนาที ยี่สิบนาที หรือครึ่งชั่วโมง กับผิวหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก แล้วนั่งทำงานกัน

แค่ได้เติมหน้า เราจะดูดีขึ้น ต่อให้วันนี้เราหยิบฉวยอะไรที่ภาคภูมิไม่ได้ เราก็ยังรู้สึกดีกับตัวเอง บ่อยครั้งที่ความสวยงามอย่างฉาบฉวยช่วยประโลมใจเราได้ (สักนิดก็ยังดี)

วิธีคิดเกี่ยวกับการแต่งหน้าและการทำอาหารของฉัน มีความคล้ายกันตรงที่ฉันทำเพื่อตัวเองเป็นอย่างแรก ฉันไม่ได้ทำเพื่อจะถ่ายรูป ไม่ได้ทำเพื่อใคร

ฉันแต่งหน้า เพราะแต่งปุ๊บก็สวยขึ้นโดยพลัน

ฉันทำอาหาร เพราะเมื่อทำเสร็จ ฉันจะได้กินของดี

อันที่จริงฉันไม่ต้องการกระทั่งคำชม หากฉันรู้สึกดีขึ้น นั่นเพียงพอแล้ว สำหรับการลงมือแต่งหน้า

อาหารเป็นความสุขที่หยิบฉวยง่าย ทั้งยังแบ่งปันได้ง่ายสุด มันก็ใช่ ที่มีอาหารมากมายในท้องตลาด มีกระทั่งหน้าปากซอย แต่เมื่อหิว ฉันจะเดินเข้าครัว

ในฤดูหนาว บางทีเราเผลอตื่นสาย โดยเฉพาะวันที่ไม่มีแดด เราปิดม่านนอน คิดว่ายังไม่เช้าเท่าไร ทั้งที่ 09.00 น.แล้ว

หมาของเราก็พลอยตื่นสายไปด้วย จากที่เคยปลุกเราทุกเช้าตอน 07.00 น. มันก็ไม่ปลุก

ผลคือ เรากินมื้อเช้าช้า ทำให้มื้อกลางวันช้าไปด้วย ฉันนึกอยากกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อย แต่ในเมื่อเราหิวตอนบ่ายสอง ก็ค่อนข้างแน่นอนว่าเหลือแต่กระดูกไก่ให้เรากิน

“หิวยัง” ฉันหันไปถามเขา ผู้ทำงานแปลอยู่ข้างๆ

“ก็…นิดหน่อย”

หิวนิดหน่อย แปลว่าหิวแล้ว ถ้าบอกว่าหิว หมายถึงหิวโคตรๆ

“กินที่บ้านโนะ ป่านนี้แล้ว ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ไม่เหลือแล้วละ” ฉันว่า

“ต้มบะหมี่ก็ได้” เขาบอก

เมื่ออากาศหนาว เรานึกถึงบะหมี่สำเร็จรูปบ่อย เติมหมู เติมผัก (ที่ลวกก่อน) เติมไข่ และใส่เครื่องปรุงแค่ครึ่งซอง นั่นเป็นมื้อกันตายของเราได้เหมือนกัน

“ไปดูในครัวแป๊บ” ฉันบอกเขา ใจคิด หากไม่มีอะไรจริงๆ ก็คงต้องบะหมี่นั่นละ

เรามีข้าวเย็น ข้าวเหลือก้นหม้อที่ฉันเก็บไว้ในกล่องพลาสติก เอามาผัดกับไข่ แล้วปรุงรสเข้าไปหน่อย กินกับพริกน้ำปลา ก็เป็นหนึ่งมื้อได้นะ

อา…แต่ดูเหมือนว่าเรามีของดีกว่านั้น เรามีน้ำพริกกะปิเหลืออยู่ และมีปลาทูทอด กับชะอมทอดด้วย

ปลาทูเหลือหนึ่งตัว แบ่งคนละครึ่งตัวละกัน

ไข่เอามาต้มดีกว่า เพิ่มโปรตีน

น้ำพริกฉันตำไว้สำหรับกินเป็นกับข้าว ไม่ใช่ข้าวคลุกน้ำพริกผัด ดังนั้น ฉันจะตำเพิ่ม และต้องเติมรสให้เข้มขึ้นหนึ่งระดับ

น้ำพริกที่จะเอามาทำข้าวผัดน้ำพริกนั้น แม้ใช้วัตถุดิบเดียวกับน้ำพริกที่เรากินเป็นถ้วย แต่รสและสัมผัสต่างกัน ถ้าจะคลุกข้าว ต้องเค็มขึ้น เผ็ดขึ้น และไม่ควรมีน้ำมากเกินไป ไม่อย่างนั้นข้าวจะแฉะ กับรสเปรี้ยว ซึ่งเปรี้ยวจากน้ำมะนาว ฉันจึงยั้งมือไว้

ตำพริกขี้หนูกับกระเทียมและหัวหอมก่อน ใส่พริกขี้หนูให้มากที่สุด กระเทียมนิดหน่อย หัวหอมก็ไม่ควรมาก ตำให้ละเอียด แล้วค่อยเติมกะปิลงไป ฉันเด็ดใบตองข้างบ้านมาห่อกะปิ ย่างบนกระทะ กะปิที่ดีอยู่แล้ว จึงมีกลิ่นดีขึ้นอีก เติมน้ำตาล แล้วก็บีบน้ำมะนาว

รสจะจัดไปมาก ตอนที่ชิม แต่นั่นคือน้ำพริกที่เหมาะเอามาคลุกข้าว-เหมาะอย่างยิ่ง

ตักน้ำพริกลงในชามใบใหญ่ที่มีข้าวเย็นรออยู่ แล้วคลุกอย่างเบามือ สำหรับฉัน มือเท่านั้นที่จะทำให้น้ำพริกทั่วถึงข้าว ใส่ถุงมือให้เรียบร้อย แค่นี้ก็ทำครัวอย่างสบายใจ

จะชิมข้าวหลังจากคลุกเลยก็ได้ ถ้ายังเค็ม หวานไม่พอ เติมน้ำปลากับน้ำตาลได้อีก แต่ฉันถนัดที่จะชิมในกระทะเมื่อข้าวเจอความร้อนมากกว่า เพราะเมื่ออาหารเจอไฟ รสชาติย่อมเปลี่ยนไป ชิมเมื่อข้าวร้อน จะได้รสที่แท้จริง

ตั้งกระทะ อุ่นปลาทูให้ร้อน แกะก้างออก แล้วแบ่งไว้จานละครึ่งตัว

ไข่ต้มนั้นสุกรอท่าอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ทีนี้ก็แค่ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน รอน้ำมันร้อนจัด ข้อควรระวังเดียวของข้าวผัดน้ำพริกก็คือ น้ำมันต้องน้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นข้าวจะเยิ้มน้ำมันจนหมดอร่อย เอาข้าวลงไปผัดไฟแรงให้ร้อนทั่วกระทะ กรณีมีชะอมดิบ โรยใส่ไปตอนนี้ ผัดสองสามที พอให้ชะอมสะดุ้งไฟจะอร่อยมาก แต่ฉันมีชะอมชุบไข่เหลืออยู่ เอามาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโยนลงกระทะ ก็ใช้ได้เหมือนกัน

ไข่ต้มเป็นยางมะตูมชวนชื่นใจ

ตักข้าวใส่จาน ข้างจานมีไข่ต้มกับปลาทูทอด…รอเขา

“โห…นึกว่าได้กินบะหมี่”

“อยากกินบะหมี่เหรอ ต้มให้ก็ได้นะ” ลากเสียงเหรอยาว

เขาหัวเราะ “ข้าวผัดน้ำพริกต้องอร่อยกว่าอยู่แล้ว แต่เห็นออกมาแป๊บเดียวไง ไม่คิดว่าจะได้กิน”

“ถ้าแม่ครัวเดินเข้าครัว ก็ต้องมีอาหารรอบนโต๊ะ ขอให้เชื่อใจ”

กินข้าวกลางวันตอนบ่ายสองครึ่งด้วยกัน ราวกับว่าไม่ใช่ของเหลือค้างในตู้เย็น มันอร่อยจริงๆ เสียด้วย ถ้าข้าวไม่เย็นคงไม่อร่อยแบบนี้ ปลาทูหนึ่งตัว อาจมากไปสำหรับหนึ่งคน พอกินคนละครึ่งตัวกับไข่ต้ม มันช่างพอดิบพอดี

“แล้วนี่เราจะกินมื้อเย็นกี่โมง” เขาถาม หลังรวบช้อน

“ควรกินใช่มั้ย”

“กินสิ จะกี่โมงก็ต้องกินให้ครบสามมื้อ บ้านเรามีแม่ครัวนี่นา”

อืม…พูดได้ดีแบบนี้ เห็นทีมื้อเย็นต้องมีจานพิเศษแล้วละ

 

ติดตามเรื่องราวมื้ออาหารของอุรุดา โควินท์ ได้ในเพจ

Perfect passion ค่อยๆ ไปแต่ไม่หยุด

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=108431131255495&id=103159475115994