อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เมนูพิเศษจากหญิงสาว

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (64)

อุทยานรส (10)

“จานว่างเปล่า
ท้องหิวโหย
สองสิ่งนี้มีแต่อาหารที่จะเติมเต็ม”
                           บทกวีของชินจิ นากามูระ

ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันบนโต๊ะอาหาร ชินจิ นากามูระ จ้องมองสายตาของหญิงสาวผู้นั้นในขณะที่หญิงสาวผู้นั้นยังดื่มด่ำกับการหวีเส้นผมของเธอ

เป็นเวลานับชั่วโมงที่พวกเขาอยู่ในอากัปอาการเช่นนั้น ชินจิ นากามูระ ไม่ละสายตาจากเธอ

ส่วนหญิงสาวก็หาได้วางหวีในมือของเธอลง ราวกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมหมากรุกที่หากมีใครเดินหมากผิดการประลองเกมดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไป

และก่อนที่ความอดทนของชินจิ นากามูระ จะหมดลง มีเสียงร้องของนกเค้าแมวดังขึ้นเบื้องนอก นกเค้าแมวตัวนั้นส่งเสียงกรีดร้องสามครั้งก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบหายไป

ชินจิ นากามูระ เหลือบมองไปทางหน้าต่างแต่หาได้มีวี่แววของนกเค้าแมวตัวนั้นไม่ และเมื่อเขาหันกลับมาหาหญิงสาวผู้นั้นอีกครั้ง เธอก็วางหวีในมือของเธอลงแล้ว และในครานี้กลับเป็นสายตาของเธอที่จ้องมองมาทางเขาแทน

ในขณะที่ชินจิ นากามูระ จะเอ่ยปากสนทนา หญิงสาวผู้นั้นก็ส่งสัญญาณให้เขาอยู่ในความเงียบ “อาคันตุกะอีกคนกำลังเดินทางมา”

และแทบจะในนาทีนั้นเอง เสียงเปิดบานประตูจากภายนอกก็ดังขึ้น

ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา เขามีรูปร่างสูงประมาณชินจิ นากามูระ แต่กลับดูอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ

เขายันไม้เท้าเก่าอันหนึ่งไว้กับพื้น และใช้ไม้เท้าอันนั้นพาร่างกายขยับมาด้านหน้าทีละน้อย

ทว่าสภาพร่างกายที่แลดูทุพพลภาพของเขานั้นหาใช่จุดเด่นใดๆ สิ่งที่เป็นจุดเด่นของชายชราผู้นั้นได้แก่ทรงผมของเขาที่สยายออกจากศีรษะจนทำให้ใบหน้าของเขาไม่ต่างจากนกเค้าแมว

“เป็นนกเค้าแมวตัวหนึ่งที่แฝงอยู่ในร่างของมนุษย์”

ไม้เท้าอันดังกล่าวพาชายชรามาจนถึงโต๊ะอาหาร เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ หญิงสาวผู้นั่งอยู่ก่อนหน้า ก่อนจะหยิบตะเกียบคีบอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวผู้นั้นขึ้นกิน เต้าหู้ขาวซึ่งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะถูกคีบได้ยากเย็นด้วยตะเกียบกลับถูกคีบขึ้นอย่างง่ายดาย

เต้าหู้ชิ้นนั้นราวกับถูกแปรสภาพเป็นก้อนหินที่แข็งตัว มันถูกคีบอย่างมั่นคงอยู่ในมือของชายชราที่แลดูพิกลพิการคนนั้น

ชินจิ นากามูระ รู้สึกตนว่ากำลังตกอยู่ในมหรสพการแสดงบางประการ ลำพังหญิงสาวคนเดิมก็ให้ความรู้สึกไม่ถูกต้องและลี้ลับมากพอแล้ว แต่ในครานี้มันกลับเพิ่มคนแปลกหน้าอีกหนึ่งคน

ภาพทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การหาคำอธิบายยุ่งยากขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนไม่มีเวลาให้ชินจิ นากามูระ ได้ขบคิดอะไรมากมายนัก ตอนนี้บุคคลทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามเขาได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างไม่หยุดนิ่ง หญิงสาวเริ่มต้นหวีผมยาวสลวยของเธออีกครั้ง ในขณะที่ชายชราผู้นั้นยังคงคีบอาหารขึ้นกินไม่หยุดมือ

และน่าแปลกที่ไม่ว่าเขาจะคีบเต้าหู้สีขาวสะอาดตาเข้าปากมากครั้งเพียงใดก็ดูเหมือนเต้าหู้นั้นจะไม่หมดไปจากจาน มันปรากฏอยู่บนจานแทบทุกครั้งที่ตะเกียบของชายชรานั้นยื่นออกไปที่จาน

“อาหารที่ดี น่าเสียดายที่มีคนร่วมวงน้อยเกินไป หวังว่าแขกคนอื่นจะไม่ล่าช้าเกิน”

ชินจิ นากามูระ เหลือบมองชายชรา แม้สายตาของชายชราจะไม่ได้จ้องมองมาทางเขา แต่เขาเชื่อว่าถ้อยคำดังกล่าวนั้นชายชราตั้งใจพูดกับเขาเป็นแน่

เขานับจำนวนจานชามและชุดอาหารบนโต๊ะอีกครั้ง มันมีอยู่ด้วยกันสิบสามชุด

หากนับรวมเขาเข้ากับบุคคลแปลกหน้าทั้งสอง นั่นแสดงว่ายังมีผู้คนอีกสิบคนที่จะตามมาสมทบในคืนนี้ ดูมันช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเสียจริงสำหรับเขา

ในตอนนี้มีปริศนาสามข้อสำหรับชินจิ นากามูระ

ข้อแรก ใครคือคนจัดเตรียมอาหารและเชื้อเชิญผู้คนมา

ข้อที่สองคือ อาหารเหล่านี้มาจากไหน

ทว่าปริศนาข้อที่สามต่างหากที่ดูน่าสนใจมากกว่า นั่นคือบุคคลที่เหลืออีกสิบคนเป็นใคร

ขณะที่ชินจิ นากามูระ ขบคิดถึงปริศนาดังกล่าว มีเสียงกู่ร้องของสุนัขจิ้งจอกดังขึ้นเบื้องนอก
และทันทีที่เสียงดังกล่าวจบสิ้นลง เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น มีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามาในบ้านอย่างมั่นใจ

เธอไม่ได้แต่งกายเยี่ยงหญิงสาวเกาหลีทั่วไป หากแต่อยู่ในชุดผ้าย้อมครามสีน้ำเงินแบบเดียวกับชาวนาตามชนบท

ชุดดังกล่าวคลุมร่างของเธอโดยที่เธอมีเพียงสายรัดเอว ชินจิ นากามูระ มองดูเพียงพริบตาก็ล่วงรู้ได้ว่าเบื้องในของชุดดังกล่าวนั้นคือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอ ไม่มีชุดอื่นซ้อนทับอยู่เบื้องในเลย

ขาสีขาวเรียวยาวของเธอแหวกชุดคลุมนั้นออกเป็นระยะ เธอเดินตรงมาที่โต๊ะ แต่แทนที่เธอจะนั่งลง เธอกลับตรงไปที่หญิงสาวผู้นั่งอยู่ก่อนหน้า ยื่นหวีในมือของเธอให้กับหญิงสาวผู้นั้นและริบเอาหวีที่หญิงสาวผู้นั้นใช้หวีผมคืนมาแทน

“การใช้หวีเก่าหวีผมซ้ำไปซ้ำมานั้นไม่ใช่เรื่องดี หวียิ่งเก่า ซี่หวียิ่งห่าง มันจะสางผมของท่านได้ไม่ดีเท่าเดิม ข้าพเจ้านำหวีอันใหม่มาให้ท่านแล้ว”

เมื่อหญิงสาวผู้มาใหม่กล่าวจบลง ชินจิ นากามูระ ก็พบว่ามีปริศนาอีกข้อหนึ่งโดยที่เขาลืมสังเกตไปในตอนแรก บุคคลทั้งหลายในที่นี้ล้วนสนทนาในภาษาเกาหลี ทว่า ชินจิ นากามูระ กลับเข้าใจในภาษาดังกล่าวอย่างดียิ่ง ราวกับว่าเขาคือคนที่เกิดในดินแดนนี้

แน่นอนว่าแม้เขาจะประจำการอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังมีความลังเลในการเข้าใจภาษาอยู่เสมอ แต่เพราะเหตุผลกลใดเล่า เพียงแค่การมาพำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่นานนัก ความสามารถด้านภาษาของเขากลับพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวคนแรกใช้หวีด้ามใหม่หวีผมของเธอ แต่แค่เพียงการหวีครั้งเดียว เธอก็วางมันลง “ข้าพเจ้าไม่เหมาะมือกับหวีของท่านนัก โปรดคืนหวีของข้าพเจ้ามา”

หญิงสาวผู้มาใหม่ยื่นสิ่งที่อยู่ในมือของเธอคืนให้กับหญิงสาวคนแรก แต่แทนที่ในมือของเธอจะเป็นหวีด้ามเดิม แต่กลับเป็นผงไม้ที่แตกละเอียดอยู่ในมือ

“ขอโทษที่ข้าพเจ้าออกแรงมากไป หวีเก่าของท่านแหลกละเอียดไปหมดแล้ว ช่วงหลังข้าพเจ้าแทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลย ถือว่าเป็นการขอโทษ เต้าหู้นั้นกินไปเรื่อยๆ ก็เสียรส ข้าพเจ้าจะปรุงอาหารให้ท่านกินเป็นการยอมรับผิดก็แล้วกัน”

ไม่ทันขาดคำ หญิงสาวสวยก็หายไปในครัวด้านหลัง ราวห้านาทีเธอกลับออกมาพร้อมไก่ตัวอ้วนที่ถูกถอนขนจนหมดสิ้นพร้อมกับหม้อเหล็กใบใหญ่ที่มีน้ำบรรจุอยู่ เธอวางหม้อเหล็กลงที่กลางโต๊ะอาหาร

และแทนการก่อไฟ เธอใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างถูเข้าหากันราวกับการตีเหล็กไฟก่อนจะทาบฝ่ามือทั้งสองเข้ากับหม้อใบนั้น เพียงชั่วครู่ไอร้อนก็พวยพุ่งขึ้นจากหม้อ น้ำในหม้อเดือดจัด เธอถอนฝ่ามือออก นำไก่ที่ถอนขนเรียบร้อยแล้วลงต้ม ก่อนจะหายไปในครัวอีกครั้ง

ในครานี้ เธอกลับมาพร้อมกับชามใบใหญ่ ข้างในนั้นมีข่าเหลืองที่ถูกตำรวมเข้ากับเกลือจนเป็นเนื้อเดียวกัน เธอดึงไก่จากน้ำในหม้อโดยไม่เกรงกลัวน้ำที่กำลังเดือดจัด และนำข่าเหลืองกับเกลือชโลมไปจนทั่วตัวไก่ และจับมันแขวนเข้ากับขื่อกลางบ้าน ไก่ตัวนั้นลอยอยู่กลางอากาศเหนือโต๊ะอาหารในสภาพที่มีสีเหลืองนวล

หญิงสาวคนดังกล่าวกลับมานั่งในที่เดิม หลังจากการออกแรงปรุงอาหารทำให้ชุดสีครามของเธอหลุดหลวมออกจากกัน เผยให้เห็นถึงเนินอกสีขาว ชินจิ นากามูระ รู้สึกได้ถึงแรงยั่วยวนที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจจากเรือนร่างของเธอ เขาคิดถึงแรงยั่วยวนดังกล่าวที่ปรากฏในนิทานโบราณของญี่ปุ่นที่ว่าด้วยปีศาจจิ้งจอกสาวที่ดักรอคนผ่านทาง

“ไก่คลุกข่าเหลือง สำรับดั้งเดิมจากถิ่นที่อยู่ของข้าพเจ้า พวกเราเชื่อว่าไก่ที่เป็นสัตว์ซึ่งหากินตามพื้นดินควรถูกปรุงด้วยวัตถุดิบที่มาจากพื้นดินอย่างข่าและเกลือซึ่งจะทำให้รสชาติของมันสมบูรณ์แบบที่สุด การปรุงอาหารในความเชื่อแบบนี้คือใช้สิ่งที่อยู่ร่วมกันตามธรรมชาติของวัตถุดิบและไม่ใช้สิ่งที่แปลกปลอมออกไป”

ชายชราที่มีลักษณะคล้ายดังนกเค้าแมวใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ออกจากตัวไก่ก่อนจะนำมันเข้าปาก เขาเคี้ยวมันชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “นี่เป็นรสชาติที่มีกลิ่นของดินแต่ไม่ระคายลิ้นเลย ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้ชิมฝีมือของท่าน”

หญิงสาวสวยยิ้มอย่างเบิกบาน “นักชิมอย่างท่านเอ่ยชม เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าควรภูมิใจ แต่อย่าลืมว่ายังมีคนที่มีฝีมือในการครัวอีกสิบคนที่ยังมาไม่ถึง น่ากลัวว่าคืนนี้ท่านจะต้องชิมอาหารไปตลอดคืน”

ไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก้อง ชายหนุ่มสามคนแบกหมูตัวหนึ่งเข้ามา
หมูตัวนั้นถูกชำแหละอย่างเรียบร้อย พวกเขาคลี่หมูตัวนั้นลงกลางห้อง ชายคนหนึ่งทยอยนำก้อนหินจากย่ามใส่ลงในท้องหมูจนเต็ม

และเมื่อก้อนหินถูกยัดเข้าไปตัวหมูในทุกส่วน ชายอีกคนก็ใช้ด้ายเย็บท้องหมูเข้าด้วยกันจนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว

ชายคนสุดท้ายลงมือก่อไฟ ก่อนจะนำหมูขึ้นย่างเหนือกองไฟ ควันจากการทำอาหารตลบอบอวลไปในคืนนั้น มันเป็นควันที่ทำให้ชินจิ นากามูระ รู้สึกตัวว่าเขากำลังตกอยู่ในความฝัน

“เป็นความฝันที่เสมือนจะไม่มีทางตื่นขึ้นได้เลย”