‘ม็อบบุกรัฐสภาสหรัฐฯ’ : เช็คบิลผู้ชุมนุมทั้งจับกุมจนแฉเป็นขวาจัด ทวิตเตอร์แบนบัญชี ‘ทรัมป์’ ถาวร

วันที่ 9 มกราคม 2564 แม้เหตุการณ์มวลชนฝ่ายสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกเข้ารัฐสภาสหรัฐฯจนกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและสร้างความสะเทือนใจและความกังวลถึงแนวคิดประชาธิปไตยที่กำลังถูกบั่นทอนหลายแห่ง แม้แต่ประเทศต้นแบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐฯ และจบลงที่ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 4 รายและถูกจับกุมกว่า 50 รายนั้น ล่าสุด

ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า บรรดาม็อบผู้สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่บุกเข้าไปปั่นป่วนและทำลายข้าวของในอาคารรัฐสภาสหรัฐ หรือ ยูเอส แคปิตอล เมื่อ 6 ม.ค. เริ่มทยอยชดใช้กรรมล้ำเส้นแล้ว โดยเฉพาะผู้ปรากฏโฉมหน้าหราทางสื่อสังคมออนไลน์ ถูกเช็กบิลก่อน ขณะที่กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่าตั้งข้อหาไปแล้ว 13 ราย

คนที่เพิ่งถูกจับกุมล่าสุด เป็นผู้ประท้วงรุ่นลุงที่บุกเข้าไปยังที่ทำงานนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทน ช่วงเวลา 14.50 น. นั่งเอาเท้าพาดโต๊ะตั้งท่าให้ถ่ายรูปอย่างสบายอารมณ์ โดยทราบชื่อต่อมาคือ นายริชาร์ด บาร์เน็ตต์ จากรัฐอาร์คันซอ ชื่อเล่น บิโก้ ถูกตั้งช้อหาเข้าในในเขตหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต เอฟบีไอควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี ที่เขตเบนทัน รัฐอาร์คันซอ

อีกคน ชื่อ ลอนนี เลอรอย คอฟฟ์แมน จากเมืองฟอล์กวิลล์ รัฐแแอละแบมา ฐานพกพาอาวุธไปเต็มคันรถบรรทุก ได้แก่ ระเบิดประดิษฐ์เอง 11 ลูก ปืนไรเฟิล 1 กระบอก ปืนพกอีก 1 กระบอก

สำหรับผู้ประท้วงที่ออกสื่ออย่างโดดเด่น ด้วยการแต่งกายแบบชนพื้นเมือง สวมหมวกประดับขนสัตว์และเขาควาย ทาใบหน้าเป็นธงชาติสหรัฐ มีชื่อว่า นายเจก แองเจลี เป็นสมาชิกกลุ่มขวาจัดในรัฐแอริโซนา และเป็นสมาชิกกลุ่มคิวเอนอน ที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด อ้างว่ารู้ภารกิจลับของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปราบปรามปิศาจที่รุกรานโลก และกำลังแอบสอบสวนนักการเมืองที่ดำเนินกิจการค้ากามเด็ก

คนต่อมายืนข้างๆ นายเจด แองเจลี โดยคล้องบัตรพนักงาน ทราบว่าเป็นพนักงาน บริษัทนาวิสตาร์ ผู้ดำเนินกิจการขายตรงในรัฐแมรีแลนด์

บริษัทประกาศว่า พนักงานคนหนึ่งถูกถ่ายรูปไว้ได้ขณะบุกเข้าไปในรัฐสภาและมีบัตรพนักงานบริษัทคล้องคออยู่ ถูกไล่ออกแล้ว และว่า บริษัทสนับสนุนสิทธิของพนักงานให้แสดงความคิดเห็นอย่างสันติและเคารพกฎหมาย แต่พนักงานคนใดที่ร่วมก่ออันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้อื่นจะไม่มีโอกาสเป็นพนักงานอีกต่อไป

นอกจากกลุ่มคิวเอนอนแล้ว กลุ่มขวาจัดที่บุกสภายังมีกลุ่ม พราวด์ บอยส์ แนวนีโอนาซี มีสมาชิกชายล้วน ใส่เสื้อยืดลาย 6MWE เพื่อสื่อสารว่า 6 ล้านคนยังไม่พอ โยงไปถึงชาวยิวที่ถูกฆาตกรรมช่วงสงครามโลก 6 ล้านราย

คนต่อมา นายพอล เดวิส ทนายความในรัฐเทกซัส ถูกไล่ออกจากบริษัทประกันภัยกูสเฮด หลังจากสื่อสังคมออนไลน์โพสต์คลิปนายเดวิสพูดเรื่องไปร่วมเหตุจลาจลเมื่อวันพุธซึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า “เราต้องพยายามเข้าในไปรัฐสภาให้ได้เพื่อหยุดมัน”

แม้นายเดวิสโพสต์สตอรีในเฟซบุ๊กว่าร่วมประท้วงอย่างสันติตลอดเวลาและไม่ได้พยายามฝ่าเข้าไปในรัฐสภาและพยายามแก้ต่างคำพูด “พยายามเข้าไปในรัฐสภา” ว่าหมายถึง “เสียงของผู้ประท้วงจะต้องเข้าไปในสภา ไม่ใช่วิธีการรุนแรงใดๆ”

อย่างไรก็ตาม การแก้ต่างแบบข้างๆ คูๆ แบบนั้นไม่ทำให้นายเดวิสรอดพ้นชะตากรรม เมื่อบริษัท เวสต์เลก ในเทกซัส ทวีตข้อความว่า “พอล เดวิส ที่ปรึกษาด้านกฎหมายไม่ได้เป็นพนักงานของกูสเฮดอีกต่อไป”

‘ทรัมป์’ ถูกแบนถาวรจากทวิตเตอร์แล้ว ชี้เสี่ยงปลุกปั่นอีก

หลังจากเหตุการณ์ที่ผู้ประท้วงสนับสนุนทรัมป์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เป็นเหตุให้ทางบริษัท ทวิตเตอร์ แถลงการณ์ระงับการใช้บัญชีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (@realDonaldTrump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างถาวร

ก่อนหน้านี้ทรัมป์ใช้ทวิตเตอร์สื่อสารกับผู้ชุมนุม กระทั่งเกิดเหตุโกลาหลและความรุนแรงตามมา จึงถูกทวิตเตอร์ระงับบัญชีไว้ทันที 12 ชั่วโมง พร้อมลบข้อความปลุกระดมและคำกล่าวอ้างเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้งอีกหลายโพสต์

ต่อมาเมื่อครบกำหนดระงับ ทวิตเตอร์จึงปลดล็อกบัญชีของทรัมป์ นายทรัมป์โพสต์อีก 2 ครั้ง ข้อความแรกขอบคุณ 75 ล้านคะแนนเสียงที่โหวตให้ตน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หลังจากถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และอีกโพสต์ ระบุว่า ตนจะไม่มาร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของนายโจ ไบเดน วันที่ 20 ม.ค. นี้ เป็นเหตุให้บัญชีของทรัมป์ถูกระงับอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการระงับถาวร ด้วยเหตุผล “เสี่ยงยุยงให้เกิดความรุนแรงอีก”

เหตุการณ์ประท้วงบุกรุกเข้าไปที่รัฐสภาเป็นผลมาจากผู้สนับสนุนทรัมป์ไม่ยอมรับ ผู้นำจากพรรคเดโมแครตนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความรุนแรงดังกล่าว ทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 4 ราย และตำรวจเสียชีวิต 1 ราย

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทางการกำลังตามจับกุมผู้บุกรุกเพื่อมาดำเนินคดีตามกฏหมาย ขณะที่สมาชิกและผู้ใกล้ชิดของทรัมป์ต่างพากันลาออก ส่วนสมาชิกสภาเริ่มขั้นตอนที่จะนำไปสู่การถอดถอนนายทรัมป์ แม้จะเหลือเวลาในตำแหน่งถึงวันที่ 20 ม.ค.

ที่มา edition.cnn.com