เรื่องสั้น | พญาเหยี่ยว (1)

การมาเยือนในครั้งนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ

หลังจากผมพลาดหวังไม่ได้เห็นมันมาสามปีจนเกือบจะถอดใจไม่มาที่นี่อีกแล้ว แต่ด้วยหัวใจเรียกร้องว่ามันเป็นเสมือนเพื่อนสนิทที่ผมหวนคะนึงถึงมันทุกปียามลมหนาวล่อง ทำให้ผมตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง โดยบอกกับตัวเองว่ามาเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ แม้ว่าไม่เจอตัวเป็นๆ ของมัน แต่ได้เห็นร่องรอยของมันก็ยังดี ไม่ว่าจะเป็นขนที่ร่วงหล่นบนหาดทราย รอยเล็บขูดจิกหินผาหรือจับคว้ากิ่งไม้ พลังของมันจะช่วยสร้างความฮึกเหิมในใจของผมให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง

มันเป็นนักล่าที่น่าหลงใหล ผมชอบดูปฏิบัติการล่าเหยื่อของมัน กล้องส่องทางไกลช่วยให้เห็นมันโผบินจากยอดเขาขึ้นสู่ฟากฟ้า บินลัดตัดมายังชายหาดที่มีเรือหาปลาลอยละล่อง อวดจะงอยปากงองุ้มราวตะขอเหล็ก สองขากำยำกางกรงเล็บแหลมคมราวมีดพร้า สายตาคมกริบดั่งมีเรดาร์แล้วร่อนลงจับเหยื่อที่ดำผุดดำว่ายบนผิวน้ำอย่างแม่นยำ

ผมเจอเหยี่ยวครั้งแรกตอนเป็นเด็กชายวัยสิบขวบ ขณะที่วิ่งเล่นว่าวกลางทุ่งข้าวระบัดรวงเหลืองอร่าม ผมพบเจอพวกมันเหินบินผ่านหัวผมด้วยความฮึกเหิมอหังการ พวกมันบินเรียงแถวราวเป็นเครื่องบินรบพร้อมจะระดมปลดระเบิดลงมาเข่นฆ่าศัตรูให้ย่อยยับ ผมแหงนมองมันด้วยใจตื่นระทึก ขณะที่วิ่งไล่ตามไปจนพวกมันบินหายลับตา รู้สึกเสียดายที่ตามพวกมันไม่ทัน แต่ใจหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแบบพวกมัน

พลันที่รู้ข่าวจากพวกนักเลงนกว่ามีพญาเหยี่ยวตัวหนึ่งหลงฝูงมาอาศัยบนหน้าผาสูงชันที่นี่ ผมจึงดั้นด้นติดตามมาดูมันบินองอาจโฉบจับปลาเลียบชายฝั่งทะเลที่ชุกชุมด้วยเรือหาปลา พญาเหยี่ยวผู้ลำพองที่ผมคิดเอามันเป็นเยี่ยงอย่าง ในวัยสามสิบต้นๆ จัดว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ในการล่าข่าว มีชั่วโมงบิน มีพรรคพวก มีเขี้ยวเล็บและสายตาที่แหลมคม ในโลกที่เคลื่อนรวดเร็วปานจรวดส่งยานอวกาศไปดาวอังคาร ผมชอบบินเดี่ยว เพราะว่ามันคล่องตัว ฉับไวทั้งรุกและรับ ในช่วงที่ได้เปรียบสามารถบุกได้อย่างรวดเร็ว และสามารถหลบหลีกได้อย่างแคล่วคล่องในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

“ไอ้เหยี่ยวเอ็งอยู่ที่ไหน” เจ้านายตะโกนลั่นมาในสาย

“มีอะไรหรือพี่” ผมสงสัยว่าทำไมเขาต้องโทร.มาในห้วงเวลาที่ผมกำลังพักผ่อนด้วย

“มีงานด่วน มีเหยื่อตัวโตให้เอ็งจับ เดี๋ยวส่งรายละเอียดให้ทางไลน์ ถ้าไม่รีบไปจะไม่ทันการณ์” พูดจบบรรณาธิการข่าวก็วางสายทันที

ผมเพ่งตาดูท่วงท่างดงามของพญาเหยี่ยวพุ่งโฉบเหยื่อด้วยความลำพองใจ โอกาสของผมมาแล้ว มันถึงเวลาของผมที่ต้องแสดงฝีมือ ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้ไม่ด้อยกว่าพญาเหยี่ยวตัวนี้

ชายชราสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงแม่ไก่กะต๊ากลั่น แกทิ้งเส้นหวายที่กำลังสอดสานเป็นตะกร้า รีบวิ่งออกมายังนอกชาน เพ่งมองฝ่าเปลวแดดร้อนไปยังลานบ้าน ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้แกต้องตกตะลึง เหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งตัวลงมาโฉบจับลูกเจี๊ยบ 2 ตัวติดอุ้งเล็บแล้วทะยานสู่ท้องฟ้าทันที แม้นังเขียวจะเอะอะโวยวาย ย่นคอ กางปีกปกป้องลูกด้วยความกราดเกรี้ยว แต่ว่าไม่สามารถช่วยชีวิตลูกน้อย 2 ตัวได้ เพชฌฆาตแห่งฟากฟ้าคว้าลูกของมันบินหนีไปต่อหน้าต่อตา แม่ไก่แม้จะมีปีกแต่พระเจ้าไม่ให้พรสวรรค์ในการเหินบิน มันจึงทำได้แค่กางปีกโอบคลุมลูกตัวสั่นสะทกที่เหลืออยู่แล้วร้องโวยวายไม่หยุดด้วยความโกรธเกรี้ยว

ผู้เฒ่าบ้านป่าที่ริ้วรอยสู้ชีวิตปูดโปนทั้งลำแขนและลำขากระย่องกระแย่งลงจากเรือนไปดูพวกมัน แต่แกก็ทำอะไรไม่ได้ แกไม่มีปีกให้บินขึ้นสู่ผืนฟ้าเพื่อติดตามไล่ล่าเหยี่ยวเอาลูกไก่คืนมา แกทำได้แค่เดินไปหาแม่ไก่ที่ยังตัวสั่นงันงก เอามือลูบขนมันเบาๆ เพื่อปลอบใจไม่ให้ตื่นตระหนกไปมากกว่านี้

ชายชราเลื่อนมือไปลูบหัวแม่ไก่แล้วลุกขึ้นโบกมือไล่ต้อนให้มันพาลูกเดินไปยังหลังบ้าน “ไป…ไป…ไปขุดคุ้ยที่หลังบ้านโน่น หากยังหากินอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเกิดมันมาอีกรอบลูกของเอ็งจะไม่เหลือเอานา”

ลุงกาเดินไล่จนแม่ไก่พาลูกหายเข้าไปในดงถั่วดงพริกดงกะเพรา แล้วแหงนหน้าเอามือป้องหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ครุ่นคิดว่าจะหาทางรับมือกับเพชฌฆาตจากฟากฟ้ายังไงดี “ไม่รู้ว่าเหยี่ยวมันมาจากไหน แต่มันช่างร้ายกาจจริงๆ” ชายชราบ่นพึมพำแล้วเดินกลับขึ้นบ้านมานั่งลงสานตะกร้าต่อ ตะกร้าก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของแก ถ้าแกไม่ทำก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินจากที่ไหนมาอยู่มากิน แถมยังมีหนี้สินให้ทุกข์ใจอีก

แต่แล้วชายชราต้องหยุดมือทำงานอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถเครื่องมาจอดหน้าบ้าน แกรีบลุกเดินมายังนอกชานอีกหน ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีส้มเดินลงจากรถเอาซองจดหมายสีขาวมายื่นส่งให้พร้อมสมุดกับปากกา

“เซ็นชื่อรับด้วยนะลุง มันเป็นจดหมายสำคัญนะ” บุรุษไปรษณีย์ผู้มีเหงื่อผุดพรายทั่วไปหน้าว่า

ชายชราคว้ามันมาด้วยอาการงงๆ แล้วเขียนชื่อ “กา ปานดี” ลงไปตามที่ชายหนุ่มชี้บอก ขณะที่ใจครุ่นคิดว่าจดหมายสำคัญนี่มันเป็นของใครกัน ทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้ หรือหลานสาวก็ไม่เคยเขียนจดหมายมาหา มีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์มา

แกเดินกลับมานั่งลงข้างตะกร้าที่สานค้างอยู่ คว้าเอาแว่นตาในกระเป๋าเสื้อมาสวม ฉีกซองจดหมายที่ประทับตราของทางการออก กางแผ่นกระดาษที่คลี่พับอยู่ออกอ่านช้าๆ อ่านจบแกก็ตาเหลือกค้าง ก่อนหน้าจะทิ่มลงไปบนตะกร้าหวายที่สานค้างอยู่

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงนั้นข่มขวัญให้นกนานาชนิดที่จับคอนอยู่ตามสุมทุมคาคบไม้แตกฮือบินว่อนร้องลั่นท้องฟ้า

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงปืนดังตามมาอีกชุดหนึ่ง นกตัวหนึ่งถลาร่วงลงพื้น ขณะนกตัวอื่นต่างบินตื่นตระหนกแตกกระจายหลบหนีไปคนละทิศละทาง

ชายหนุ่มผู้มีแววตาปีติยินดีลดปืนยาวติดกล้องที่ยิงได้ไกลถึง 200 เมตรลง เอาปากกระบอกชี้ลงบนพื้นหญ้าสูงเกือบถึงหัวเข่า

“เห็นนกร่วงบ้างไหมลุง” ผู้มาจากตระกูลเศรษฐีมีเงินแสร้งถามชายผมยาวเป็นกระเซิงเหมือนไม่เคยสัมผัสหวีมาเป็นปีซึ่งเขายืนกุมปืนยาวยืนอยู่ข้างๆ หนุ่มรุ่นกระทงผมหยิกหยอย

“มือชั้นเซียนระดับเจ้านายแล้วมีรึนกจะไม่ถูกสอยร่วงลงมา รอแป๊บนึงนะครับเดี๋ยวผมจะไปเก็บมาให้ชื่นชม” พรานชราตอบยิ้มๆ แล้วพยักหน้าให้ลูกชายสะพายปืนคล้องไหล่พากันเดินหายเข้าไปในพงหญ้า

ชายหนุ่มเดินเอาปืนไปวางข้างต้นกระบกสูงใหญ่ แหงนมองตามขึ้นไปบนยอด บนยอดไม้สูงลิบละแวกนี้น่าจะมีพญาเหยี่ยวอาศัยทำรังอยู่ เขาจำได้ว่าในการออกล่าเดือนก่อนเขาเห็นเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินอยู่แถวนี้ แต่ว่ามันโผบินมาให้เห็นเพียงครู่เดียวแล้วบินหายไปทางชายหาด มันคงไปล่าปลาเป็นอาหาร เขารออยู่นานนับชั่วโมง มันก็ไม่บินย้อนกลับมาให้เขาล่า เขาอยากได้ตัวของมันไปประดับบารมีที่บ้าน วันนี้เขาจึงมาที่นี่ครั้งอีก พยายามก่อกวนเพื่อหาตัวมัน แต่ว่ามีนกตัวอื่นที่ตกเป็นเหยื่อกระสุน ไม่ใช่พญาเหยี่ยวที่มีจะงอยปากอันงดงามที่เขาได้เอาไปประดับห้องรับแขกเคียงข้างหนังเสือดาว

“วันนี้เอ็งรอดตัวไป แต่วันหน้าต้องถึงคราวของข้าบ้าง จะได้รู้ไปว่าพญาเหยี่ยวบนฟ้ากับพญาเหยี่ยวบนดิน ใครมันจะแน่กว่ากัน”

ภาพของเนินเขาลดหลั่นกันสวยงามเหมาะแก่การทำรีสอร์ตหรูๆ ก็มาลอยอยู่ตรงหน้าอีก ในขณะที่ตรงชายป่าสองพ่อลูกกำลังหิ้วนกใหญ่ตัวหนึ่งกลับมาเขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นนกอะไร แต่มันไม่ใช่นกที่เขาต้องการ นกที่ล่าได้ง่ายๆ เขาไม่ต้องการมันหรอก

ผมเดินทางไปที่นั่นทันทีหลังได้รับคำสั่ง ขับรถลาจากผืนทะเลไปยังหมู่บ้านล้อมรอบด้วยภูเขาซึ่งตอนนี้ถูกวางไว้ด้วยกับดักเอารัดเอาเปรียบของนักล่าผลประโยชน์แบบชนิดชุบมือเปิบกันหน้าด้านๆ รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อคู่กายของผมไม่เคยย่นระย่ออยู่แล้วว่าเป็นที่ใด พร้อมจะบุกฝ่าไปทุกที่ที่มีเหยื่อให้ล่า ไม่ต่างจากพญาเหยี่ยวบินขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมจะโฉบเหยื่อทันที

ผมไม่ต้องการเป็นชีวิตที่คลอดจากครรภ์มารดาแล้วล่องลอยไปในอากาศจนวันหนึ่งก็สลายกลายเป็นขี้เถ้ากลับคืนสู่ดินหรือเป็นผุยผงที่เขาเอาไปเหวี่ยงทิ้งลงแม่น้ำหรือทะเลอย่างไร้ค่า แต่ผมต้องการเป็นชีวิตที่ความหมายให้คนจดจำว่าเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด ได้ดิ้นรนต่อสู้กับความอยุติธรรมอย่างองอาจผ่าเผย ซึ่งผมว่านี่แหละคือความอภิรมย์ของชีวิตอย่างแท้จริง

“ตีแผ่ให้ลึกสุดใจเลยนะเหยี่ยวหนุ่ม เราตัองตัดไฟเสียแต่ต้นลม อย่าปล่อยให้เขาย่ามใจ เดี๋ยวเขาจะฮึกเหิมไปกันใหญ่” อินทรี บรรณาธิการตาดุไว้หนวดเคราครึ้มราวเป็นนักเขียนใหญ่ วิดีโอคอลล์มาสั่งงานตั้งแต่เช้า

“เก็บข้อมูลทั้งข่าว ภาพ เสียง คลิป เก็บให้ครบทุกด้านเลย ทำให้รอบคอบที่สุด การที่จะฉีกหน้ากากคนบาปผู้มีอำนาจเงินและพวกพ้องที่มีอำนาจนั้นไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ แน่ เขาเป็นหนุ่มนักเรียนนอก ทายาทของเจ้าสัวที่หากินกับนักการเมือง ย่อมมีเล่ห์เหลี่ยม มีมือไม้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เราต้องไม่ประมาท มิฉะนั้นชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายได้” เจ้านายกำชับกำชาด้วยเสียงห้าวๆ

ผมรู้สึกชิงชังนัก หากเขาจัดการเรื่องนี้สำเร็จอย่างราบคาบ ภูเขาสวยงามลูกนี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา นั่นจะทำให้เขาย่ามใจไปก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านที่อื่นต่อ ความโลภเมื่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้คนแล้วมันยากที่จะสะกดคำว่า “พอ”

แต่แล้วผมก็ต้องเบรกกระบะคู่ใจจมเท้า พาใจที่ล่องลอยมาอยู่ปัจจุบันตรงหน้า เมื่อตาเหลือบเห็นป้ายชี้บอกหมู่บ้านเป้าหมายซึ่งแยกไปทางด้านซ้าย เห็นฝุ่นตลบตามหลังรถกระบะที่ขนของพะรุงพะรังเลี้ยวไป เมื่อมองไกลไปทางเบื้องหน้าเป็นทิวเขายาวเหยียดติดต่อกันสุดลูกหูลูกตา

เหมือนว่ามีรังสีแห่งความหม่นหมองปกคลุมอยู่ เมื่อรถกระบะคู่ใจพาผมผ่านบ้านหลังหนึ่ง กลิ่นอายแห่งความโศกเศร้าโชยลอดหน้าต่างเข้ามาในรถ มันทำให้เท้าเหยียบเบรกโดยอัตโนมัติจนหน้าทิ่มไปข้างหน้า สองตาเพ่งมองผ่านพงหญ้าเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง มีรถราจอดอยู่หน้าบ้าน มีผู้คนในเสื้อดำเสื้อขาวเคลื่อนไหว นั่นเป็นที่มาของอวลกลิ่นหม่นเศร้าที่ผมสัมผัสได้

ผมเคลื่อนรถเดินหน้ามาหน่อยหนึ่งแล้วดับเครื่องยนต์ใต้โคนมะขามแผ่กิ่งก้านปกคลุม ใต้ใบมีฝักห้อยเป็นพวง เขาคิดถึงน้ำพริกมะขามที่แม่เคยตำให้กิน แต่มันไม่ใช่เวลาที่ไปนึกถึงเรื่องน้ำพริก ในตอนนี้ผมสามารถใช้มันเป็นที่ซุกหลบเปลวแดดร้อนแรงดังเปลวเพลิงสังหารหากใครคิดขัดขืนหรือต่อกรกับมันในยามนี้อาจจะร่างกายละลายได้

ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าที่นี่อาจจะเป็นสนามรบอย่างดุเดือดก็เป็นได้

“ใบไม้กรอบแห้งที่ไร้ค่าปลิดร่วงลงไปอีกใบแล้วสินะ” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม “จะโทษว่าเราเป็นต้นเหตุก็ไม่ได้นะ พวกแกเลือกทางนั้น เลือกทางมรณะกันเอง”

เขาเอาปากกาสีแดงกากบาทลงบนชื่อ “นายกา ปานดี” เจ้าของที่ดิน 7 ไร่เศษที่ลาโลกไป ไล่สายตายังรายชื่ออื่นๆ อีกนับสิบรายชื่อ พวกปลาซิวปลาสร้อยที่กำลังงับเหยื่อเหงือกคาเบ็ดเหล่านี้จะต้องถูกต้อนจนหมดทางหนีทีไล่จนกลายเป็นลูกไก่เชื่องๆ ไม่มีปากมีเสียงอีกต่อไป

ปักษินมองจากบ้านไม้สักออกไปยังหมู่บ้านที่ปลูกลดหล่นกันตามตีนเขาด้วยสายตาลุกวาว มันเป็นทิวทัศน์อันสวยงามที่เขาต้องกระชากลากถูให้เข้ามาอยู่ในการครอบครองของเขาทั้งหมดให้ได้ บ้านหลังที่เขาอยู่ก็เช่นกัน เขาได้มาอย่างแยบยลโดยใช้เงินไม่มากนัก เพียงแต่ใช้สมองและใช้เวลามากหน่อย เขาก็ให้ลูกน้องโกนหัวห่มผ้าเหลืองเป็นพระธุดงค์มาปักกลดที่นี่ หลอกล่อให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา ต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะช่วยกันลักลอบตัดไม้สักต้นงามๆ มาสร้างเป็นสำนักสงฆ์อยู่บนเนินเขา จากนั้นพระธุดงค์มีลูกศิษย์มาอยู่ด้วย ต่อนั้นเติมนั่นนี่จนกลายเป็นบ้านไม้สักโดดเด่นสง่าผ่าเผย จากนั้นพระธุดงค์ก็หายหน้าไป เหลือเพียงลูกศิษย์อยู่บนบ้าน กลายเป็นกองบัญชาการรวบรวมผืนป่าผืนดิน ตอนนี้อยู่ในกระบวนการเข้ายึดครองนับร้อยไร่แล้ว อีกไม่นานมันก็จะถูกเสนอเข้าไปยังเศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านพร้อมกับมีเงินหลายร้อยล้านเข้ามาตุงในกระเป๋าของเขา

แต่ขณะกำลังจิบกาแฟขมเข้มวาดฝันสวยหรูเพลินๆ อยู่นั้น เขาก็ต้องสะดุ้งตื่นภวังค์ เมื่อหูแววเสียงรถจักรยานยนต์มาดับเครื่องที่หน้าบ้าน เขายังไม่ทันลุกจากเก้าอี้เดินออกไป ผู้มาเยือนก็โผล่หน้าขึ้นมาจากกระไดบ้าน พอเห็นหน้าชายคนนั้นชัดเจน นักวางแผนหนุ่มก็ฉีกยิ้ม ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “แก้ว” มือไม้สำคัญของเขานั่นเอง

“มีเรื่องอะไรรึ” เขาย่นหน้า

“มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านครับ” ลูกน้องรายงาน

“มันเป็นใคร” ชายหนุ่มสนใจขึ้นมาทัน

“เห็นเขาว่าเป็นนักข่าว”

“มันจมูกไวจริง จับตาดูเขาทุกย่างก้าวว่าไปหาใคร ทำอะไรบ้าง” ชายหนุ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

“ครับ” แก้วตอบรับแล้วรีบลงจากเรือนไม้สักขึ้นรถจักรยานยนต์รีบควบออกไปทันที

“ไอ้นี่คิดจะลองดีรึ มันจะได้เห็นดีกัน” ในดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายดั่งมีกองไฟลุกโชนอยู่ในนั้น