หนุ่มเมืองจันท์ : เปลี่ยนโลก (2)

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

สัปดาห์ที่แล้วคุยถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก 2 เรื่อง คือ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ และ เจ้า AI หรือ “ปัญญาประดิษฐ์”

ทิ้งค้างไว้อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกภายในเวลา 5 ปีนับจากนี้ คือ “รถยนต์ไฟฟ้า” ครับ

เวลาพูดถึง “รถยนต์ไฟฟ้า” ทุกคนจะนึกถึง “เทสลา” ที่จุดประกายความสนใจเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า” ขึ้นมาในโลก

รถบ้าอะไร ทั้งสวย ทั้งเงียบ ทั้งเร็ว

เร็วกว่าเฟอร์รารี่อีก

ที่สำคัญก็คือ รักษาสิ่งแวดล้อม

เทสลา โมเดล 3 ที่เปิดให้จองสามารถทำยอดจองสูงถึง 4 แสนคัน

ค่าจองคันละ 1,000 เหรียญ

4 แสนคัน เป็นเงินประมาณ 14,000 ล้านบาท

“เทสลา” ได้เงิน 14,000 ล้านบาทมาเข้ากระเป๋าก่อนทั้งที่ยังไม่ได้ผลิตรถรุ่นนี้ออกมาสักคันเดียว

นี่คือ “มูลค่า” ของ “ความเชื่อมั่น” ครับ

ปรากฏการณ์ “เทสลา” ได้จุดประกายให้คนหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

ทั้งที่ปริมาณรถเทสลาที่ออกสู่ตลาดนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับยอดขายของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทุกยี่ห้อ

ในเชิงธุรกิจ “เทสลา” ก็แค่ “มด”

แต่ยักษ์ใหญ่รถยนต์ทั้งหลายเหมือนกับ “ยักษ์”

เทียบกันไม่ได้เลย

แต่ทำไม “รถยนต์ไฟฟ้า” จึงได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงนี้

ถ้า “รถยนต์ไฟฟ้า” สามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จ

โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

และไม่ใช่แค่ “อุตสาหกรรมรถยนต์”

ผมมองว่าปัจจัยที่ทำให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” จะเปลี่ยนแปลงโลกมาจากเหตุผล 5 ประการ

ประการแรก “แบตเตอรี่” ถูกลง

“แบตเตอรี่” ของรถไฟฟ้าเปรียบเสมือน “ถังน้ำมัน” ของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ในอดีต แบตเตอรี่จุไฟได้น้อย และราคาสูงมาก

แต่วันนี้ “แบตเตอรี่” พัฒนาจนสามารถจุไฟฟ้าให้รถยนต์วิ่งได้ 300 กว่ากิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

และราคาต่ำลงมาเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละ 13%

มีการคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีจะลงมาที่ 300 ดอลลาร์ต่อหน่วยไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนที่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาปานกลางได้

แต่ที่ผมรู้จากคนในวงการ เขาบอกว่าราคานี้ ตอนนี้ก็ผลิตได้แล้ว

หมายความว่าราคาแบตเตอรี่จะต่ำลงกว่านี้อีกในอีก 3 ปี

ในเชิงธุรกิจ เมื่อ “ต้นทุน” ต่ำลง “โอกาส” ก็มากขึ้น

การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นในทางธุรกิจ

ประการที่สอง “จีน” เอาจริงเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า

มีคนบอกว่าจีนอยากกระโดดเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์มานานแล้ว

แต่ถ้าแข่งขันในเกมเดิม คือ รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

จีนจะต้องเริ่มนับ 1 แต่ญี่ปุ่น เยอรมนี ไปถึง 100 แล้ว

แข่งอย่างไรก็สู้ไม่ได้

แต่ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทุกคนเริ่มนับ 1 เท่ากันหมด

ผมนึกถึง “บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” วันที่เขาคิดจะเรียนต่อ

ถ้าเล่นในเกมเดิม คือ เรียนต่อตามระบบทั่วไป

เขาก็ต้องเริ่มนับ 1 แต่คนอื่นไปไกลแล้ว

“บุณยสิทธิ์” เลือกที่จะเรียนรู้เรื่อง “คอมพิวเตอร์” ในวันที่ “คอมพิวเตอร์” เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย

ทุกคนนับ 1 เรื่อง “คอมพิวเตอร์” เท่ากันหมด

ไม่มีใครเก่งกว่าใคร

วันนี้คุณบุณยสิทธิ์จึงเป็นคนอายุ 79 ที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์

การกระโดดเข้ามาแบบเอาจริงเอาจังของ “จีน” จะทำให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” เกิด “อีโคโนมี ออฟ สเกล” เพราะสามารถผลิตรถยนต์จำนวนมากๆ ได้ในต้นทุนที่ต่ำ

บริษัททั่วไปใช้ “ห้องทดลอง” สำหรับสินค้าใหม่

แต่ “ห้องทดลอง” ของ “จีน” มีขนาดเป็น “เมือง” ครับ

นึกถึง “รถไฟความเร็วสูง” ที่ “จีน” เอาจริงสิครับ

กะพริบตาทีเดียว กลายเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงยาวที่สุดในโลก

19,000 กิโลเมตร หรือ 60% ของทั้งโลก

เชื่อไหมครับว่าจีนใช้เวลาเพียง 9 ปีเท่านั้นเอง

ดังนั้น ถ้า “จีน” เอาจริงเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า”

อัตราเร่งของธุรกิจนี้จะเร็วและแรงขึ้นทันที

ประการที่สาม “อิลอน มัสต์” ซีอีโอของ “เทสลา” เคยบอกว่า “เทสลา ไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็นคอมพิวเตอร์หรูที่มีล้อ”

ไม่ใช่การเล่นสำนวนที่คมคาย

แต่เป็นการบอกถึง “กรอบความคิด” ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม

และนั่นหมายความว่าต่อไปโลกของรถยนต์จะไม่ได้เป็นของค่ายรถยนต์ในอดีต

การข้ามสายพันธุ์ธุรกิจแบบที่เรานึกไม่ถึงจะเกิดขึ้น

ธุรกิจที่มี “เงินทุน” และ “เทคโนโลยี” อย่างไมโครซอฟต์ กูเกิล หรือแอปเปิ้ล จะข้ามสายพันธุ์ไปหาโตโยต้า เบนซ์ บีเอ็ม ฯลฯ

เราจะได้ยินชื่อค่ายรถยนต์ใหม่ในเกมใหม่

เกม “ไอแพดติดล้อ” ครับ

“รถยนต์ไฟฟ้า” จะกลายเป็น “น่านน้ำสีแดง”

เพราะจะเกิด “รายใหม่” กระโดดเข้ามา

และค่ายรถยนต์เก่าจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่

เชื่อเถอะครับ ทุกค่ายจะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาสู้อย่างแน่นอน

ไม่มีใครอยากเป็น “โกดัก” ของวงการรถยนต์หรอกครับ

ตามหลักการตลาด การแข่งขันทำให้ตลาดโต

ถ้ารายใหม่-รายเก่า ลงสนามเมื่อไร

“รถยนต์ไฟฟ้า” จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดทันที

ประการที่สี่ ภาวะโลกร้อน

เรื่อง “โลกร้อน” ที่มีการพูดถึงเมื่อหลายปีก่อน วันนี้ทุกประเทศเริ่มวิตกกังวลอย่างจริงจัง

และคิดหาทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง

แนวทางหนึ่งก็คือ การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

“นอร์เวย์” ประกาศแล้วว่าจะเลิกจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2025 หรืออีก 9 ปีข้างหน้า

“เยอรมนี” ให้เงินอุดหนุนสำหรับคนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 4,000 ยูโร

และในปี 2030 รถยนต์ใหม่ต้องไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา

ผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้จะขยายออกไปทั่วโลก

โดยเฉพาะในยุโรปที่กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแรงจะเริ่มต้นก่อนใคร

ปัญหาเรื่อง “โลกร้อน” จะทำให้การเติบโตของ “รถยนต์ไฟฟ้า” มีอัตราเร่งเพิ่มขึ้นจากรัฐบาลประเทศต่างๆ

ยังเหลืออีกเหตุผลหนึ่งครับ

เป็นเหตุผลที่ใกล้ตัวแต่หลายคนลืมนึกถึง

แต่เนื้อที่หมดแล้วครับ

ไม่นึกว่าจะเขียนเรื่องนี้ยาวถึง 3 ตอน

สัปดาห์หน้าว่ากันต่อครับ