วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร/คดีความ ราบรื่น แต่ไม่เรียบร้อย (72)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

คดีความ ราบรื่น แต่ไม่เรียบร้อย (72)

เมื่อวันตงจื้อผ่านพ้น วันท้ายปีคืบใกล้ สมควรเป็นช่วงแห่งการอำลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่รื่นเริงสุขสันต์ ทว่าบรรยากาศในเมืองหลวงกลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เพียงเพราะราชโองการฉบับหนึ่งของจักรพรรดิ

“คดีรุกล้ำที่ดินเมืองปินโจว แต่งตั้งจิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียน เป็นหัวหน้าคณะผู้ไต่สวน โดยมีขุนนางจาก 3 หน่วยงานเป็นผู้ช่วย ให้ดำเนินการไต่สวนวินิจฉัยทันทีตามหลักแห่งกฎหมายบ้านเมือง”

2 วันถัดมา เซียวจิ่งเหยียนประกาศรายชื่อผู้ช่วยไต่สวนทั้ง 3

สร้างความสั่นสะเทือนในหมู่ขุนนางราชสำนักยิ่งกว่าเดิม หากกล่าวว่าจิ้งหวังทำให้โอกาสที่ซิงกั๋วกงพ้นผิดเลือนรางริบหรี่ รายชื่อคณะผู้ช่วยไต่สวนกลับยิ่งเป็นการตอกฝาโลงส่งลงนรกอย่างแท้จริง

ทั้งๆ ที่กรมอาญาเป็นสถานที่หลักในการไต่สวนและเป็นเขตอิทธิพลของอวี้หวัง

เดิมทีทุกคนเข้าใจว่าจิ้งหวังต้องถูกกดดัน ขัดขวางไม่มากก็น้อย คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นอวี้หวังให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่ว่าอยากได้คนหรือสิ่งของ เพียงคำเดียวก็หามาประเคนให้จนถึงที่

กระทั่ง หากมีใครเชื่องช้าเพียงเล็กน้อยก็จะถูกอวี้หวังตำหนิอย่างรุนแรง

 

ซิงกั๋วกงจึงถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับชะตากรรมเลวร้ายตามลำพัง ความหวังหนึ่งเดียวก็คือ สุดท้ายจะได้รับพระเมตตาเว้นโทษประหารจากองค์จักรพรรดิหรือไม่

ส่วนยศถาบรรดาศักดิ์ แน่นอนว่าสูญสิ้นแล้ว ไม่เหลืออะไร

การไต่สวนดำเนินมาได้เกือบ 10 วัน ยังไม่ทันได้ข้อสรุป ข่าวก็แพร่กระจายลุกลามไปทั่ว จากนั้นคดีความซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันก็ถูกส่งมายังเมืองหลวงจากทั่วสารทิศ

ผู้ดีมีตระกูลจำนวนมากพากันคืนที่ดินให้ชาวบ้านพร้อมกับเงินชดเชยอย่างเงียบๆ

ท่าทีแสดงออกของจิ้งหวังในการจัดการคดีร้องเรียนต่างๆ ที่ทยอยเข้ามา เป็นไปด้วยความเด็ดขาด จริงจัง พลิกแพลงตัวบทกฎหมายในการพิจารณาคดีได้อย่างเฉียบไว

ทั้งกับคณะผู้ร่วมไต่สวนอื่นๆ ก็ประสานและร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น

คดีใหญ่ที่เดิมทีสามารถสร้างความวุ่นวายในราชสำนัก แต่เพราะการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดิ ความร่วมมือของอวี้หวัง และผู้ช่วยอันกอปรด้วยความสามารถ

ส่งผลให้จิ้งหวังจัดการได้อย่างสะอาดหมดจด ได้รับคำยกย่องชมเชยไม่ขาดปาก

 

ไม่ถึง 1 เดือนคดีก็ได้ข้อสรุปเบื้องต้น ซิงกั๋วกงและญาติมิตรผู้ร่วมกระทำผิดทั้งสิ้น 17 คน รอราชโองการประหาร ทั้งให้ริบทรัพย์สินทั้งหมดเข้าแผ่นดิน

ผู้ชายในจวนให้เป็นแรงงานชายแดน ผู้หญิงให้เป็นข้าทาสในวังตลอดชีวิต

เมื่อดำเนินคดีเสร็จสิ้น จิ้งหวังนำคณะผู้ไต่สวนเข้าเฝ้ารายงานผลการทำงาน จักรพรรดิเหลียงรับสั่งให้เบิกตัวไปยังตำหนักอู่อิงทันที ณ ที่นั้นก็พบว่าอวี้หวังได้ยืนอยู่ก่อนแล้ว

จักรพรรดิเหลียงรับม้วนหนังสือรายงานทอดพระเนตรรอบหนึ่งค่อยตรัสดัง “อืม” ออกมา

ด้วยสีพระพักตร์เฉยชาก่อนส่งต่อให้อวี้หวังทางด้านข้าง กวาดพระเนตรทุกคนที่หน้าบันไดคราหนึ่งแล้วตรัสถาม “รายงานเป็นผู้ใดเขียน”

“ไซ่เฉวียน เจ้าพนักงานกรมอาญาพ่ะย่ะค่ะ” จิ้งหวังทูลพลางให้ไซ่เฉวียนขึ้นหน้าถวายบังคม

“เขียนได้ดี ชัดเจน แจ่มแจ้ง” ทอดพระเนตรไซ่เฉวียนแวบหนึ่งค่อยเบนพระเนตรมาทางจิ้งหวัง ทรงนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงตรัส

“เจ้าทำได้ไม่เลว แต่ยังต้องจัดการเรื่องในภายหลังอย่าให้เกิดความวุ่นวาย”

 

บทบาทของอวี้หวังปรากฏขึ้นในตอนนี้ “คดีนี้ปิดลงอย่างงดงามจริงๆ เสด็จพ่อทรงคัดเลือกคนได้เหมาะสมอย่างยิ่ง คดีใหญ่ขนาดนี้ดีที่เป็นจิ้งหวังรับผิดชอบ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่ายังคงงมอยู่ในอ่าง”

จักรพรรดิเหลียงทรงทอดพระเนตรอย่างอบอุ่น

“เจ้าเองก็รู้จักใช้ความคิดขึ้นแล้วทำให้เจิ้นเบาใจไม่น้อย ในบรรดาองค์ชายมีก็แต่เจ้าที่สุขุมรอบคอบ รู้จักคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก

ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนอาสาช่วยจิ่งเหยียนด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่”

“ลูกเห็นว่าจิ่งเหยียนไม่คุ้นชินกับกรมอาญา อาจมีบางจุดติดขัด ดังนั้น เสนอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ” อวี้หวังยิ้มพลางโบกมือไปมา ขณะที่จักรพรรดิตรัส

“เจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้เจิ้นปลาบปลื้มนัก” นี่ย่อมเป็นจุดพลิกผันแปรเปลี่ยนอย่างสำคัญ