จัตวา กลิ่นสุนทร : ทำอะไรไม่ได้ควรต้องไป ก่อนอะไรๆ จะสายเกิน

เวลาดำเนินเดินไปอย่างรวดเร็วไม่แตกต่างกับการนัดออกมาชุมนุมของ “ราษฎร 2563” ที่ก่อตัวและสลายไปได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทั้งๆ ที่มีผู้เดินทางเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก

เหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้เปลี่ยนไปเป็นรายชั่วโมง รายวัน การเขียนต้นฉบับของนิตยสารรายสัปดาห์ บางครั้งจึงเกือบสายไปเสมอ อาทิ วิเคราะห์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงยังไงท่านจะไม่ “ลาออก” จากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทั้งๆ ที่ถูกตะโกนขับไล่ว่า “ประยุทธ์ ออกไป ประยุทธ์ ออกไป–” ทุกวันมาตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 เกิดทนไม่ไหว–แปลว่าข้อเขียนอาจช้าไปเสียแล้ว

แต่สำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้ยืนยันนอนยันว่าไม่ลาออกเด็ดขาด “มาไล่สิ ผมไม่ท้าทาย แต่ผมไม่ออก–” ท่านกล่าวด้วยท่าทีขึงขังผสมอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะละจากไปด้วยภาษากายที่ดูว่ายิ่งใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจ

วันที่ 17 ตุลาคม 2563 แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เห็นชอบการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยืนยันแข็งขันว่าไม่ลาออก พร้อมโยนคำพูดใส่กลุ่มผู้สื่อข่าวว่า– “ผมไม่ได้ผิดอะไร”

ทุกวันนี้มีแต่เสียงขอให้ท่านลาออก ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนพรรคฝ่ายค้านจากจังหวัดอุบลราชธานี บอกว่า “เป็นทางเลือกเดียว เหตุเพราะประชาชนมองว่าท่านเป็นปัญหาของประเทศ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะทำอย่างไรที่จะหยุดวิกฤตที่เกิดขึ้น–“

 

หลังจากวันที่ 16 ตุลาคม 2563 เมื่อตำรวจตัดสินใจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมบริเวณสยามสแควร์ สี่แยกปทุมวัน ก็ล้วนแต่ถูกประณามไปทั่วประเทศจนทั่วโลก

ถึงตำรวจจะพยายามแถลงว่าทำตามขั้นตอนตามแบบสากล แต่อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคยรับหน้าที่ตรงนี้มาก่อน ท่านได้ยกแผนกรกฎมาถามถึงการตัดสินใจการใช้กำลังว่า “มันถึงเวลาหรือยัง?”

มีการเจรจาต่อรองหรือปฏิบัติการอื่นใดหรือยัง?

สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน หรือทางราชการ หรือยัง?

เพราะว่าวันนั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบและผู้ชุมนุมก็ประกาศแล้วว่าจะสลายการชุมนุมในเวลา 2 ทุ่ม ประมาณนั้น—ทำไมรอไม่ได้?

เหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกปทุมวัน ใจกลางกรุงเทพฯ คำถามจากพรรคฝ่ายค้านส่งถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ว่ายังสบายดีอยู่หรือ?

ยังจะร่วมรัฐบาลอยู่อีกหรือ?

ควรจะถอนตัวออกมาได้แล้ว “–พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเถอะครับ” วัน อยู่บำรุง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ร่วมส่งเสียงด้วยความรู้สึกดุดันจริงจัง

แปลกใจคนระดับนายกรัฐมนตรีมองไม่เห็นคิดไม่ออกว่าผิดอะไร?

ท่านไม่ได้หันกลับไปมองเส้นทางที่เดินผ่านเข้ามาสู่อำนาจเลยว่ามันผิดตรงนั้นแหละ เพราะท่านเข้ามาด้วยความ “ไม่ชอบธรรม” ยึดอำนาจมา ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเขาไม่ได้เลือก จะฟอกตัวอย่างไรมันก็ไม่ชอบธรรมอยู่ดี

ท่านวางแผนมาก่อนการยึดอำนาจจนถึงการสมคบคิดประดิษฐ์รัฐธรรมนูญ 2560 แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คนมาค้ำเก้าอี้ขานชื่อให้ได้สืบทอดอำนาจนั้น–ประชาชนในประเทศนี้มันกินแกลบโง่เง่าไม่รู้เรื่องกันอย่างนั้นหรือ?

การคุกคาม จับกุมคุมขังประชาชนที่เห็นต่างด้วยการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จเผด็จการหลังการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.2557 จนถึงได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ครั้งที่ 2 กระทั่งได้กลายเป็นตัวปัญหาของประเทศปัจจุบัน นั้นมันไม่ถูกต้องตามขั้นตอนระบอบการปกครองที่ทั่วโลกเขานิยมยอมรับ

การกวาดต้อนผู้แทนฯ น้ำเน่าเข้ามาร่วมพรรคของรัฐบาล ถ้าหยิบ ส.ส.พวกนี้ขึ้นมาพิจารณากันเป็นรายตัวจะเห็นได้ถึงตำหนิต่างๆ นานามากมาย หลายคนมีชนักติดหลังเรื่องคดีความ หลายกลุ่มต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยผลประโยชน์ทั้งสิ้น

พรรคการเมืองที่เห็นต่างถูกวางแผนผลักไสไล่ให้พ้นเส้นทางสิ้นสภาพ ส.ส. พรรคการเมืองใหม่ที่ได้รับความนิยมถูกยุบไป

ตรงกันข้ามกับพรรคการเมืองกระจอกๆ ที่ได้รับเลือกจาก “ประชาชนทั่วประเทศ” มาแค่ 20,000-30,000 คะแนน แต่ได้เป็น ส.ส.ทุกพรรค พรรคละ 1 คน

บางคนยุบพรรคเฉยๆ เข้าไปเป็นสมาชิกพรรครัฐบาล ซึ่งมองไม่ออกว่ามันเป็น ส.ส.ประเภทไหน? เป็น ส.ส.เขต หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ–

พูดหยาบๆ ว่า ถ้าเป็นพวกกูไม่ผิด ฝั่งตรงข้ามมึงผิดหมด แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างน้อย 3 พรรคท่านไม่รู้เรื่องกระนั้นหรือ? จึงยังอยู่ข้างเดียวกันมายืนพร้อมหน้าพร้อมตาสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเป็นไม้ประดับให้เขาแถลงข่าวการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง เพียงเพื่อผลประโยชน์ อำนาจวาสนา และตำแหน่ง “รัฐมนตรี” เท่านั้นกระมัง

 

ด้วยความเคารพ ถึงเวลานี้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านขาดความชอบธรรม เปรียบเป็นสินค้าก็คือสินค้าที่มีตำหนิ วางขายให้ประชาชนส่วนมากไม่ได้อีกต่อไป

ผมเขียนเสมอๆ หลายครั้งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นเป็นเรื่องยากลำบากด้วยกฎเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ผู้ร่างได้วางตรึงปิดประตูตายไว้ตามคำสั่งจนกระทั่งต้องไปอาศัยเสียงของ ส.ว.จำนวน 80 กว่าเสียงจาก 250 จึงจะแก้ไขได้ ว่ากันจริงๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยนอกเสียจากว่าพวกเขาจะได้รับไฟเขียวจากเจ้านาย หรือเจ้าของพวกเขา

ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่ายาก อาจจะไม่ยากเกินถ้าหาก “ประชาชน” จำนวนมากของประเทศร่วมมือร่วมใจกันแสดงความต้องการ ณ เวลานี้สิ่งที่กล่าวกำลังใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

วิธีการยื้อซื้อเวลา พยายามเลี่ยงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากการวางแผนร่วมกันของ ส.ส.พรรครัฐบาล และ 250 ส.ว. กำลังได้รับการผ่อนลงทั้งๆ ที่ไม่เคยมีสัญญาณการตอบรับ ไม่มีการพูดถึง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกมาจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นอกจากความนิ่งเฉย และท่วงทำนองการวางมาดด้วยภาษากายที่น่า– แต่เวลานี้กลับค่อยๆ อ่อนลงบ้างแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาแถลงทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เอ่ยปากเรียกหาชวนให้มาพูดคุยเจรจากันโดยใช้เวทีรัฐสภาสำหรับการแก้ไข ให้ดำเนินการผ่านรัฐสภาก่อนที่เหตุการณ์จะถอยร่นไปยังบริเวณริมขอบเหว

ฟังดูเหมือนมันจะเกินเลยเวลาที่เรียกว่า (เกือบ) สายไปแล้ว

ท่านคงคิดว่าตนเองมีอำนาจมากมายล้นฟ้าจึงมีภาษากาย ภาษาพูดเหมือนอหังการเป็นอย่างมาก

ซึ่งผมยังเชื่อว่า “–ถึงยังไงก็คงไม่สามารถต้านทาน “อำนาจประชาชน” ได้”

 

ณเวลานี้สิ่งที่กล่าวกำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้น อย่างน้อยกำลังนักเรียน นิสิต นักศึกษาในนาม “ราษฎร 2563” กลุ่มนักศึกษา ประชาชนปลดแอก นัดหมายกันออกมาชุมนุมทุกวันตามสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ และในหลายๆ จังหวัดเกือบทั่วประเทศไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเดินไปยังทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกภายใน 3 วันด้วยจำนวนคนล้นหลาม

ผมเขียนเสมอๆ อีกเรื่องหนึ่งว่า ใน “ประวัติศาสตร์” การเมืองไทยก่อนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำจากกองทัพ มีอำนาจล้นฟ้าเบ็ดเสร็จ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อยู่ในบ้านเกิด บางท่านไปตายยังต่างประเทศ และลงจากอำนาจด้วยความเจ็บปวดขมขื่น อย่างน้อย 2 ผู้นำอำนาจล้น สุดท้ายต้องถูก “ยึดทรัพย์”

เหตุการณ์วันนี้ถึงไม่เหมือนในประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่ไม่แตกต่างกันมาก เรียกว่าคล้ายๆ เป็นการเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่น นักศึกษาถูกจับกุมเพราะออกมาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ให้แก้ไข “รัฐธรรมนูญ” จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นใหม่ แต่เมื่อออกมาชุมนุมเรียกร้องกลับถูกสลายด้วยความรุนแรง ไม่เป็นไปตามหลักสากลอย่างที่นายกฯ ออกมาแถลง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะยังมั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ แต่ถึงเวลานี้ไม่มีใครแน่ใจว่าทุกอย่างจะกลับมาสงบดังเดิม นอกเสียจากว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมถอยออกไป

ต้องยอมรับว่าตัวท่านได้กลายเป็นสินค้ามีตำหนิ และดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว โผล่หน้าออกทีวีเมื่อไรเท่ากับเรียกจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้น

รีบตัดสินใจอย่างที่หลายฝ่ายแนะนำเถอะครับ

ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกิน