ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
แม้จะบอกว่า “หลายท่านคงไม่สนุก”
แต่คอลัมน์การ์ตูนที่รัก ของนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ก็ยินดีนำเสนอหนังการ์ตูน
“The Willoughbys ลูกที่พ่อแม่ไม่รัก”
ให้ผู้อ่านได้พิจารณา
“ณบ้านเก่าแก่หลังหนึ่ง
ของตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งคือวิลโลบี้
บ้านใหญ่โตโบราณเคร่งขรึมโอ่อ่าน่ากลัว
มีรูปบรรพบุรุษของตระกูลวิลโลบี้ขนาดยักษ์ติดตามกำแพงและบันไดที่งามสง่า
แต่ละคนมีชื่อเสียงด้วยคุณงามความดีหรือความกล้าหาญได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์
วันนี้คุณและคุณนายวิลโลบี้ผู้รักกันปานจะกลืนกิน ให้กำเนิดทารกชายหนึ่งคน ชื่อทิม
ทิมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุดที่พวกเขาเคยพบจึงนำออกไปนอกห้องในทันที
ทิมเป็นส่วนเกินของบ้าน…”
หนังไม่ได้บอกว่าทิมโตอย่างไร
แต่เขายิ้มแป้นเงยหน้ามองพ่อ-แม่ที่ไม่ต้องการเขา
แถมเขามีชะตากรรมร่วมกับน้องสาวอีกสามคน
คือเป็นลูกทั้งสี่ ที่พ่อ-แม่ไม่รัก
แต่เด็กสี่คนยังคงยิ้มแย้มเป็นส่วนใหญ่
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมพ่อ-แม่จึงไม่ต้องการพวกเขา
นพ.ประเสริฐบอกว่า หนังให้บรรยากาศแบบหนังสือของโรอัล ดาห์ล บางส่วน
คือ มืดหม่น แต่มีความหวัง
โดยไม่รู้ตัว คนดูเอาใจช่วยเด็กสี่คนหนีออกจากบ้านให้ได้
ผจญภัยไปในโลกกว้างอย่างปลอดภัย
หวังให้ได้พบพ่อ-แม่บุญธรรมที่ใส่ใจพวกเขา
อย่างไรก็ตาม
นพ.ประเสิรฐบอกว่า คนดูอีกหลายคนคงแช่งชักหักกระดูกพ่อ-แม่คล้ายๆ กับเวลาที่อ่านหนังสือของดาห์ลเช่นกัน
“นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ ทำไมเราชอบอ่านงานของโรอัล ดาห์ล เหตุผลหนึ่งคือเราสามารถปลดปล่อยความเกลียดชังต่อผู้ใหญ่รวมทั้งพ่อ-แม่ได้โดยไม่ผิดบาป เพราะเนื้อเรื่องนำทางเอาไว้เช่นนั้น เด็กๆ ที่อารมณ์ขุ่นมัวได้อ่านแล้วก็สบายใจ การ์ตูนเรื่องนี้ก็น่าจะทำงานแบบเดียวกัน”
เมื่อพ่อ-แม่เป็นพิษ เราอาจจะต้องหนีจริงๆ
นพ.ประเสริฐจึงเชิญชวนท่านที่สนใจลองหาดูนะ
แม้หลายท่านคงไม่สนุก อย่างที่กล่าวในตอนต้นก็ตาม
เมื่อพูดถึงเด็ก
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ชี้ถึง “ความอีหลักอีเหลื่อของการศึกษาไทย”
ไว้อย่างน่าสนใจ ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้
โดยระบุว่า
“…การศึกษาไทยในเวลานี้เผชิญกับความอีหลักอีเหลื่อ
คือด้านหนึ่งผู้ปกครองนักเรียนก็อยากให้ลูกหลานรอบรู้ คิดเองเป็น รู้ทันคนและสถานการณ์ต่างๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการเห็นลูก-หลานแหลมออกมาต่อสู้กับระบบช่วงชั้นของศักดินา เพราะเห็นว่าเป็นอันตราย ไม่ในระยะสั้นก็ระยะยาว
ด้านหนึ่งก็ยอมรับ “วินัย” ของสังคมศักดินา
แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้ว่า “วินัย” เช่นนี้เพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถนำพาลูก-หลานให้ประสบความสำเร็จไปได้ไกลนัก ในสังคมอุตสาหกรรมของไทย แม้เป็นอุตสาหกรรมโบราณก็ตาม
ครั้นจะให้ฝึก “วินัย” ของสังคมอุตสาหกรรมแทน
ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกหลานต้องเผชิญอันตรายต่างๆ ในชีวิตข้างหน้า
เป็น “ความเป็นไทย” ที่ไม่อยากเป็นไทยเหมือนเดิม แต่ก็ไม่กล้าเป็นไทยแบบใหม่
จึงเป็นความอีหลักอีเหลื่ออยู่ตอนนี้”
อันทำให้เราหาทางออกจากปัญหาพันลึกทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้
แถมเด็กบางส่วน กลายเป็นลูกที่พ่อ-แม่ไม่รักด้วย!