VOXPOP กลางม็อบ : จับเข่าคุยพ่อค้า-แม่ค้า มาเร็วก่อนกาล ขายดี เทน้ำเทท่า

นับตั้งแต่มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เยาวชนปลดแอก” นัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ผ่านมาถึงวันนี้กินเวลาไปกว่า 3 เดือนแล้ว การต่อสู้ที่ยาวนานของกลุ่มคนที่พยายามเรียกร้องประชาธิปไตยก็ยังคงดำเนินต่อไป

แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการต่อกลุ่มผู้ชุมนุมมาแล้วหลายครั้ง แต่วันนี้จำนวนผู้ร่วมชุมนุมยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง จนเกิดภาพการชุมนุมในหลายจังหวัด

ภาพการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสลายม็อบที่แยกปทุมวันเมื่อเช้ามืดวันที่ 15 และ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา, กลุ่มประชาชน ซึ่งปัจจุบันใช้คำเรียกตัวเองว่าคณะราษฎร 2563 รวมถึงกลุ่มดารา-ศิลปิน ออกมาเรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรงกับพวกเขา พร้อมทวงคืนความเป็นประชาธิปไตยและเสนอข้อเรียกร้องที่เป็นการรวมข้อเรียกร้องของ “กลุ่มคณะประชาชนปลดแอก” และ “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” เข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นข้อเรียกร้อง 3 ข้อเพื่อยื่นต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตาม

ผู้ร่วมชุมนุมแทบทั้งหมดไม่เห็นด้วย และบางคนถึงขั้นใช้คำว่า “รับไม่ได้” กับการสลายการชุมนุมทั้ง 2 วัน เนื่องด้วยการต่อสู้ของพวกเขาใช้แนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี ไร้อาวุธตอบโต้ จึงมองว่ารัฐบาลไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อประชาชนตามหลักสากล

 

นํ้าและนิค (นามสมมุติ) ผู้เข้าร่วมชุมนุมในช่วงหั่วค่ำวันที่ 15 ตุลาคม ที่บริเวณแยกราชประสงค์ให้ความเห็นต่อนักข่าวมติชนว่า การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 เป็นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำได้ในระบอบที่เรียกว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ดังนั้น การสลายการชุมนุมในตอนเช้ามืดตอนตีสี่ครึ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกเรา (ผู้ชุมนุม) รับไม่ได้ แถมยังมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพื่อยับยั้งการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรที่จะเกิดขึ้นด้วย

ที่ผ่านมาน้ำและนิคเข้าร่วมทุกการชุมนุมที่เป็นการต่อต้านรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และจากการที่พวกเธอเข้าร่วมทุกม็อบ พวกเธอมองว่าการชุมนุมเหล่านี้เป็นม็อบที่มีกิจกรรมสันทนาการ สร้างความสุขขณะเรียกร้องสิทธิ ไร้การปลุกปั่น ยั่วยุ และความรุนแรงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลและคนอีกกลุ่มเคยให้ความเห็นไว้

น้ำและนิคให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าพวกเธอใช้ชีวิตวัยรุ่นและเติบโตมากับการด่ารัฐบาลตลอดเกือบ 7 ปี ซึ่งนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นต้องมาพบเจอในวัยนี้ ดังนั้น พวกเธอจึงเลือกเปิดหน้าเพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยอย่างไม่เกรงกลัว เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเธอทำอยู่นั้น หากไม่ออกมาเรียกร้องแล้วต้องทนอยู่ต่อไปอย่างนี้ คงไม่มีทางเกิดความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีของคนทุกกลุ่มได้ ดังนั้น การออกมาต่อสู้และเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงคือหนทางเดียวที่ทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่ดีขึ้นได้

“สำหรับหนูมันไม่ได้ต่างไปจากฮ่องกงเลย โดยรู้สึกว่าเราไม่มีทางเติบโตไปมากกว่านี้ เราไม่รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตกับความฝันของเรายังไง คือเงินเดือนสองหมื่นกับชีวิตตอนนี้มันไม่พอ สมมุติวันไหนฝนตกคือรถเมล์ก็ไม่มา เรียกแท็กซี่ก็ไม่ได้ แกรบก็ไม่รับ ตุ๊กตุ๊กก็ไม่รับ ขนาดหนูมีทางเลือกเยอะว่าสามารถนั่งอันไหนก็ได้ แต่มันก็ไม่มี

แล้วคนที่เขาไม่มีถึงขนาดจะเลือกแท็กซี่ก็ไม่ได้อะ แล้วเขาทำได้แค่ยืนรอรถเมล์ไปวันๆ คือมันเศร้าเกินไปกับการที่แค่เราทำงานเสร็จจะกลับบ้าน เรายังทำไม่ได้เลย”

น้ำและนิคกล่าว

 

ขณะเดียวกันภาพที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันที่ 15 และค่ำวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ทำให้กลุ่มคณะราษฎรต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้กับรัฐบาลใหม่แทบทั้งสิ้น ทั้งการประกาศการรวมตัวชุมนุมแบบเรียลไทม์และมีเวลาเลิกชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในการประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่

เกิดศัพท์ใหม่ในการใช้เรียกสิ่งรอบตัวของม็อบ อาทิ แกง = แกล้ง เท = ทิ้ง โพ = โปลิศหรือตำรวจ จุ๊ก = หลบหลีก แครอท = พระ บล็อคโคลี่ = ทหาร ม็อคค่า = ตำรวจ CIA = หน่วยข่าวกรอง (รถขายของ) เป็นต้น

หรือแม้แต่ภาคธุรกิจขนาดเล็กก็เกิดสิ่งที่น่าสนใจจนคนในโซเชียลพูดถึงกันจำนวนมาก

นั่นคือกลุ่มรถเข็นขายของข้างทางก็ย้ายมาขายในบริเวณม็อบ

เพราะหลายครั้งพวกเขาทราบและมาถึงที่ชุมนุมไวกว่าผู้ร่วมชุมนุม จนหลายคนเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่าหน่วยข่าวกรอง ทั้งยังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง

ร้านค้าเหล่านี้กลายเป็นอาหารหลักของม็อบขณะเข้าร่วมชุมนุม ช่วงแรกมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่ขณะนี้เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ ข้าวเหนียว-ไก่ทอด, ลูกชิ้นทอด-ย่าง, ปลาหมึกย่าง, ผลไม้, ข้าวไข่เจียว, ผัดไทย

หรือพูดง่ายๆ ว่าสตรีตฟู้ดประเทศไทยมีอะไร ที่นี่มีหมดทุกอย่าง

 

ร้านขายข้าวเหนียวไก่เจ้าหนึ่งที่ช่วงหลังตระเวนขายในม็อบเผยว่า ปกติทุกเจ้าก็มีจุดขายประจำอยู่แล้ว ซึ่งขายหมดบ้าง ไม่หมดบ้าง แล้วแต่โอกาส จนเมื่อมีม็อบและเห็นคนจำนวนมากจึงเห็นโอกาสในการค้าขาย

เจ้าของร้านเผยว่า ในแต่ละวันต้องหาข้อมูลการชุมนุมจากช่องทางโซเชียลต่างๆ อยู่ตลอดเวลา หรือหากยังไม่มีข้อมูลสถานที่ บางครั้งก็ต้องคาดเดาสถานที่ที่น่าจะเป็นในแต่ละวันและต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อที่จะไปยังเป้าหมายก่อนมีการปิดเส้นทางได้ทันเวลา

“ผมไม่รู้จักเลยครับ ผมมาแบบเหมือนได้ยินเสียงตามสาย วันนี้ผมไปอ้อมวงเวียนใหญ่ วงเวียนใหญ่อ้อมมาสนามหลวงแล้วก็มาจุดตรงนี้” เจ้าของร้านข้าวเหนียวไก่กล่าว

เดิมทีข้าวเหนียวไก่เจ้านี้เตรียมวัตถุดิบไว้เพียงวันละ 20 กิโลกรัมเท่านั้น พอหลังจากเริ่มตระเวนขายในม็อบรายวันต้องเตรียมเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 60 กิโลกรัม

ที่สำคัญ ในจำนวน 60 กิโลกรัมนั้น การันตีขายหมดทุกวัน

เฉลี่ยแล้วขายได้วันละ 7,000 บาท

แถมวันไหนโชคดีก็มีผู้ใจดีเหมาสินค้าทั้งร้านเพื่อแจกจ่ายให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย

อย่างวันที่ 19 ตุลาคม ที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกเกษตร ร้านค้าประเภทอาหารโดยรอบบางส่วนมีการถูกเหมาเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ร่วมชุมนุมด้วยเช่นกัน

โดยเจ้าของร้านข้าวเหนียวไก่บอกว่า ผู้เหมามองว่าผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเด็กอาจจะมีกำลังทรัพย์น้อย จึงอยากให้น้องๆ ได้กินเพื่อที่จะมีแรงต่อสู้

ราคาเหมาขึ้นอยู่กับราคารวมของร้านค้านั้นๆ อย่างร้านข้าวเหนียวไก่นี้ให้เหมาไปในราคา 3,000 บาทเท่านั้น จากเดิมหากประเมินจากจำนวนไก่ที่เหลืออยู่ ถ้าขายหมดจะได้เงินราว 5,000 บาท เพราะมองเห็นการต่อสู้ของเหล่านักเรียน-นักศึกษาในการทวงคืนประชาธิปไตยนั้นเป็นไปอย่างสันติและบริสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์สถานที่ชุมนุมของกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าก็เริ่มมีระบบและเป็นหูเป็นตาให้กัน โดยการสร้างกลุ่มสื่อสารในแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อบอกข่าวสารและสถานที่ให้กันและกันจะได้ไม่ตกขบวน

 

ความหลากหลายที่เกิดขึ้นเหล่านี้ นอกเหนือจากจะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎร 2563 แล้ว

พวกเขายังเปิดมิติใหม่ให้กับการชุมนุมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพื่อรับมือกับรัฐบาล

แต่ขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่เห็นต่างออกมาเรียกร้องในสิ่งที่เขาเชื่อด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันเรายังไม่เห็นทางออกว่าท้ายที่สุดแล้วผลจะออกมาเช่นไร

และการต่อสู้ของกลุ่มคณะราษฎร 2563 จะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน

เราคงต้องรอเสียงตอบรับจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง