ว่าด้วย “หมุดหาย” “คดีเก็บเห็ด-บอสกระทิงแดง” และ “การจับสื่อยิงเป้า”

เป็นพลเมืองของประเทศไทยนี่ต้อง “รู้อยู่” เป็นเบื้องต้นนะครับ

ขืนไปซีเรียส ไปเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง

ปัญหายังไม่ทันแก้ไข โรคประสาทจะถามหาเอาเสียก่อน

ไม่เชื่อก็ลองดูข่าวที่โถมถั่งกันเข้าเป็นระลอกในช่วงนี้

เริ่มจาก “หมุดหน้าใส”

ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่า “หมุดคณะราษฎร” ชิ้นเดิมนั้น ใครมาถอนไป เอาไปอยู่ที่ไหน

ชาวบ้านไม่รู้ยังไม่เท่าไหร่

แต่รัฐบาลและหน่วยราชการพร้อมใจกันหลับหูหลับตาไปด้วยกันหมด

ถ้าเป็นวัยรุ่นหน่อย เขาก็อาจจะตั้งคำถามด้วยศัพท์ยอดฮิตว่า

“รัฐบาลมีไว้ทำไม”

ความบนบกยังไม่ทันหาย ความใหม่ใต้น้ำก็แทรกเข้ามา

อยู่ๆ การอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำที่เป็นความลับระดับ “มุมแดง”

ก็เกิดไม่ลับขึ้นมาเสียดื้อๆ อย่างนั้น

พอไม่ลับก็มีคำถามตามมา

พอคำถามอื้ออึงมากขึ้น ท่านผู้มีอำนาจวาสนาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาเสียอีก

ถึงตอนท้ายจะโยนเรื่องกลับไปให้ต้นทางอย่างกองทัพเรือเป็นผู้แถลง

ความสงสัยก็ยังไม่สิ้น

เพราะประเด็นที่ชาวบ้านสงสัยนั้นอยู่เกินอำนาจหน้าที่ที่กองทัพเรือเขาจะตอบได้

เช่น กาลเทศะในการจัดซื้อ

หรือการจัดสรรความสำคัญของการใช้งบประมาณ

ในโลกยุคใหม่ที่คำถามคำตอบและข้อมูลทั้งหลายถูกบันทึกเอาไว้ใน “ดิจิตอล แพลตฟอร์ม”

ค้นง่าย งัดขึ้นมาตั้งคำถามใหม่ได้ง่าย

ท่าทางจะต้องดำน้ำกันต่อไปอีกหลายอึดละครับ

ไล่เลี่ยกันก็เกิดปัญหาในกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้คนทั่วไป “อึดอัดคับข้อง” มากขึ้น

เป็นกรณีเปรียบเทียบระหว่าง

ลูกมหาเศรษฐี ผู้ต้องหาในคดีขับรถชนคนตาย

6 ปีแล้วคดีก็ยังไม่ไปไหน

ยังสั่งฟ้องไม่ได้เพราะแจ้งมาตลอดว่าอยู่ต่างประเทศ

อยู่ๆ ก็มีข่าวว่า หนึ่งวันก่อนอัยการจะตัดสินใจสั่งฟ้อง และสามวันก่อนออกหมายจับ

เขาเพิ่งเดินทางออกจากประเทศไทย

กับกรณีสองสามีภรรยาที่ถูกสั่งฟ้องในข้อหาตัดไม้ทำลายป่า

ไม่เรียกว่า “คดีเก็บเห็ด” ให้แสลงใจใครก็ได้

และไม่ก้าวล่วงคำพิพากษาที่มาถึงชั้นฎีกาแล้วก็ได้

แต่ถามจริงๆ เถอะครับว่า คนที่ออกมาตีวัวกระทบคราดเรื่องนี้-คือบอกว่าสองสามีภรรยานั้นผิดจริง ในข้อหาตัดไม้ทำลายป่า

เพื่อจะด่ายาวไปถึงสื่อหรือคนที่ออกมาทวงถามความเป็นธรรมให้

เอาเข้าจริงแล้วเคยอ่านคำพิพากษา และคำให้การในคดีนี้โดยละเอียดไหมครับ

เชื่อทันทีเลยใช่ไหมครับว่า สองคนผัวเมียสามารถตัดไม้ 72 ไร่ 1,148 ท่อน มูลค่า 5 แสนกว่าบาทได้เอง

ได้อ่านไหมครับที่ศาลท่านเขียนว่า

“ตามพฤติการณ์แห่งคดี เชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง ยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด

คงมีจำเลยทั้งสองเท่านั้นที่ยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจรับสารภาพ”

จึงลดโทษให้

และถ้าคิดว่าคดีนี้ลากยาวมาร่วม 10 ปี

ถามว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ว่าตำรวจหรือป่าไม้

หาตัวได้หรือยังว่าใครคือกลุ่มนายทุน ที่มีผลประโยชน์โดยตรง

ซึ่ง

“ยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด”

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คำพิพากษาเท่านั้น

ยังอยู่ที่ “โอกาส” ในการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องตัวเองของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันในสังคมด้วย

ว่ามันต้องมีอะไรพิกลพิการอยู่แน่ๆ

และสุดท้ายนี้คือกรณี พ.ร.บ.ควบคุมสื่อ

เขาจะตั้งชื่อว่าอย่างไรไม่ทราบละครับ แต่ที่เรียกอย่างนี้ เพราะเสนอกฎหมายเขาก็อภิปรายว่าสื่อนี่ต้อง “ควบคุม” ให้ได้

ไม่เชื่อลองไปย้อนเปิดเทปการอภิปรายของ สปท. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ก่อนจะลงมติผ่านร่างกฎหมายดู

ที่องค์กรสื่อ 30 องค์กรไปยื่นหนังสือนายกรัฐมนตรี

แล้วท่านบอกว่าจะรับฟังทั้งสองทาง นี่ต้องฟังท่านนะครับ

ท่านจะไม่ฟัง สปท. ได้ยังไง ในเมื่อตั้งมากับมือ

จะไม่ฟังเพื่อนร่วมรุ่นที่อยากเอาสื่อไป “ยิงเป้า” หรือ

สื่อยังไม่เตรียมใจไว้อีกหรือครับ