บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ /’บิ๊กตู่’ พ่าย ‘แรงบีบ’ การเมือง ทีม ศก.ใหม่ระวัง! ชะตาซ้ำรอย 4 กุมาร

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

‘บิ๊กตู่’ พ่าย ‘แรงบีบ’ การเมือง

ทีม ศก.ใหม่ระวัง! ชะตาซ้ำรอย 4 กุมาร

 

ถือว่าเป็นการ “ลาออก” อย่างปุบปับมาก สำหรับทีมรัฐมนตรี 4 กุมาร ในสายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ซึ่งสาเหตุการไปอย่างปุบปับนั้น ตามกระแสข่าวที่ออกมา เริ่มจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งไลน์ถึงนายสมคิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ระบุว่า “รู้สึกลำบากใจ รู้สึกแย่ ไม่รู้จะพูดต่อหน้าอย่างไร”

จากนั้นนายสมคิดโทร.หานายกฯ ซึ่งนายกฯ ได้พูดกับนายสมคิดว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ “ด้วยเหตุผลทางการเมือง” ซึ่งนายสมคิดได้ตอบไปว่า เข้าใจดี ส่วนเรื่องของ 4 กุมาร เปิดทางให้นายกฯ ปรับ ครม.ได้เลย ไม่ต้องกังวล

ด้วยเหตุนั้นในวันถัดมา 15 กรกฎาคม ทีม 4 กุมาร ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีพลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง จึงแถลงลาออกจากตำแหน่ง

ส่วนนายสมคิดได้ฝากจดหมายลาออกถึงนายกรัฐมนตรีมากับนายกอบศักดิ์ พร้อมกับยกเลิกภารกิจที่จังหวัดชุมพร เกี่ยวกับกองทุนหมู่บ้านอย่างกะทันหัน ที่เดิมมีกำหนดลงพื้นที่ในวันที่ 16 กรกฎาคม

หากนายสมคิดและ 4 กุมารรู้ตัวล่วงหน้ามาพอสมควรว่าจะมีการปรับ ครม. เชื่อว่านายสมคิดในฐานะพี่ใหญ่ของทีม 4 กุมาร ไม่น่าจะมีหมายงานปฏิบัติภารกิจในวันที่ 16 กรกฎาคมแน่ๆ

 

การที่ต้องไปอย่างปุบปับ ก็เพราะตัวนายกฯ เองที่ยอมแพ้ต่อแรงบีบทางการเมือง ทั้งที่ต้นเดือนมิถุนายน ยังดูเหมือนให้ความมั่นใจกับ 4 กุมารว่าจะยังไม่มีการปรับ ครม. ขอให้ทำหน้าที่ต่อไป

การให้ความมั่นใจในช่วงนั้น ทำให้นายสมคิดและทีม 4 กุมาร ซึ่งดูแลด้านเศรษฐกิจ มีกำลังใจทำงานต่อไป แม้ว่าจะถูกกลุ่ม “ทวงเก้าอี้” ในพรรคพลังประชารัฐ ไล่ถลุง กดดันให้ลาออกไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนบิ๊กตู่ก็ “ลอยตัว” อ้างว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ขณะที่บิ๊กป้อม พี่ใหญ่ที่ในภายหลังยกระดับขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ก็ปล่อยให้เด็กในพรรคออกมาด่า แซะทีม 4 กุมาร อย่างไม่คิดจะห้ามปราม

ในวันแถลงข่าวลาออก 4 กุมารพูดจาอย่างให้เกียรติ พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐที่พวกเขาร่วมบุกเบิกก่อตั้งมา ไม่มีการพูดให้ร้าย โดยบอกว่าการลาออกก็เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป หายคลุมเครือ พ้นวิกฤตและช่วยนายกฯ ลดแรงกดดันทางการเมืองและเป็นการจากกันด้วยดี

รัฐมนตรีทีม 4 กุมารพูดจาอย่างเป็นสุภาพบุรุษ อย่างผู้มีอารยะ แต่ ส.ส.ในพรรคบางคน เช่น นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. กระทำตัว “อนารยะ” ขาดสปิริต เพราะมีการออกข่าวโชว์ภาพนำไข่หลายพันฟองไปแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองได้บนขอให้ 4 กุมารลาออก เมื่อการบนสำเร็จผลจึงนำไข่ไปแก้บน

พฤติกรรมแบบนายสิระ ไม่ส่งผลดีต่อภาพพจน์ของพรรคพลังประชารัฐ

เพราะโดยความเป็นมนุษย์ และโดยมารยาทของความเป็นมนุษย์ ไม่ควรทำแบบนี้

อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติทีม 4 กุมาร ที่ทำงานให้นายกฯ และประเทศชาติมานานถึง 5 ปี เมื่อพวกเขาลาออกไปตามที่ตัวเองต้องการแล้ว

คนที่มีอารยะต้องรู้จักการเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่มากระทืบซ้ำ

 

การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจอย่างกะทันหันในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในวิกฤตจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น ทำให้ภาคเอกชนค่อนข้างหวั่นใจว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะสะดุด ขาดความต่อเนื่อง เช่น นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย บอกว่า ไม่ต้องการให้ปรับนายสมคิดและทีมเศรษฐกิจออก เพราะจะขาดความต่อเนื่อง นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ค่าเงินบาทเมื่อเช้า (16 กรกฎาคม) อ่อนลงมาก

เช่นเดียวกับนายทิม ลีฬาหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด ทำให้นักลงทุนกังวล ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา นโยบายเศรษฐกิจสำคัญมาจากการผลักดันของนายสมคิด ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง การทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมาน่าพอใจ โดยเฉพาะการทำงานของกระทรวงการคลังและ ธปท.มีประสิทธิภาพน่าพอใจ

อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี เป็นอำนาจของนายกฯ จะกระทำได้ด้วยเหตุผลอันเหมาะสม เช่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือเป็นเพราะรัฐมนตรีคนนั้นมีปัญหาทุจริตไม่โปร่งใส แต่ทว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ชัดเจนว่าเกิดจาก “แรงกดดันทางการเมือง” พูดให้ชัดก็คือ พ่ายแพ้ต่อแรงกดดันจากกลุ่ม ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐที่อยากเป็นรัฐมนตรี

ความอยากนั้นมีมาก จนทนรอไม่ได้ โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติกำลังอยู่ในสภาวะไหน ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก สุ่มเสี่ยงจะทำให้เศรษฐกิจหายนะมากขึ้น

 

การเปลี่ยนครั้งนี้ มีเหตุผลที่ไม่สง่างาม และยังผิดเวลา จนกล่าวได้ว่าการเมืองกลับสู่วังวนน้ำเน่า รัฐบาลก็มีแต่เดินหน้าสู่ความเสื่อม

ส่วนภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อจากนี้ก็ไม่ใช่ชายชาติทหาร เด็ดขาด ตรงไปตรงมา แต่โอนเอนไปตามแรงต่อรองทางการเมือง มีความพลิ้วแบบนักการเมืองเต็มตัว ขาดจุดขายและจุดแข็งไปมาก

เชื่อว่านายสมคิดและ 4 กุมาร น่าจะเสียความรู้สึกอยู่ไม่น้อย เพราะระหว่างที่ถูก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐสายบิ๊กป้อมรุมสกรัมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ดูเหมือนไม่เคยออกมาปกป้องชัดเจน เอาแต่ลอยตัว ทั้งที่หากต้องการปรามจริงจังก็สามารถคุยกับ พล.อ.ประวิตรได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทำ

บิ๊กป้อมนั้น วันๆ คงไม่ได้อ่านข่าวว่าลูกพรรคตัวเองทำอะไรบ้างกับ 4 กุมารและนายสมคิด

อีกทั้งจะเปิดคอมพิวเตอร์อ่านข่าวออนไลน์ก็คงไม่เป็นอีก อาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ พล.อ.ประยุทธ์นั้น อ่านข่าว ติดตามข่าว แต่ทว่าก็ลอยตัวเหนือปัญหา

 

หลังจากทีม 4 กุมารลาออกแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ปากหวาน (อาจจะก้นเปรี้ยวด้วย) ว่า รู้สึกเสียดายนายสมคิดและ 4 กุมาร รู้สึกผูกพันเพราะทำงานด้วยกันมานาน แต่ด้วยความจำเป็นทางการเมืองก็ต้องปรับ เป็นการจากกันด้วยดี และไม่มีการให้ร้ายกัน ผมไม่เคยทำร้ายใคร

พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ไม่เคยทำร้ายใคร แต่การที่ไม่ปกป้อง 4 กุมารในยามถูกแก๊งในพรรคพลังประชารัฐรุมสกรัม ก็ไม่ต่างจากการหลิ่วตาให้แก๊งนั้นรุมกระทืบเพื่อกดดันให้ลาออกทางอ้อม เป็นการยืมมือคนอื่นบีบให้ออกนั่นเอง ซึ่งไม่สง่างาม ขาดความจริงใจ

เชื่อว่าในใจลึกๆ 4 กุมารคงน้อยใจอยู่บ้าง ที่ถูกบิ๊กตู่ “เท” อย่างฉับพลัน แต่อีกด้านหนึ่งก็โล่งใจ จะได้ปลดภาระหนักอึ้งและได้พักผ่อนเสียที ส่วนเศรษฐกิจต่อจากนี้ หากสาหัสกว่าเดิม บิ๊กตู่ก็ต้องรับไปเต็มๆ ขณะที่ 4 กุมารถือว่าได้แขวนนวมและลงจากเวทีอย่างมีเกียรติ

สำหรับทีมเศรษฐกิจที่จะเข้ามาใหม่ ก็ต้องทำใจว่าอาจมีชะตากรรมซ้ำรอยนายสมคิดและ 4 กุมาร เพราะเกม “เก้าอี้ดนตรี” ในคณะรัฐบาลนี้เกิดขึ้นตลอดและอาจถี่ขึ้นกว่าเดิม

ไม่รู้ว่าเขาจะให้ “คนนอก” นั่งถึง 1 ปีหรือเปล่า เพราะ “ก้นที่อยากนั่งเก้าอี้” นั้นมีเยอะ การเปลี่ยนเก้าอี้อาจถี่หน่อย 3 เดือนหรือ 6 เดือนเปลี่ยนกันที ก็เป็นได้