ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 เมษายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
-มันต้องได้สิ-
เราเคยมีวันแบบนั้น หรืออย่างน้อย, ฉันก็เคยมีวันแบบนั้น
วันที่เชื่อว่าความรักเอาชนะได้ทุกสิ่ง แค่เรารักกันมันก็เพียงพอแล้ว
“หล่อนเชื่อว่าคนชอบแสดงความรู้สึกตัวเองให้ใหญ่โตเกินจริงเพียงเพื่อจะวางตัวเหนือคนอื่น สำหรับหล่อนแล้วความรักเป็นอะไรที่เราทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้แม้ต้องเสี่ยงกับการสูญเสียทุกอย่าง
แต่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต”*
“พิพิธภัณฑ์แห่งความไร้เดียงสา” เล่าถึงเคมาล ชายหนุ่มวัยสามสิบจากตระกูลร่ำรวย และฟูซุน สาวงามวัยสิบแปดผู้เป็นญาติห่างๆ ที่ยากจน สานสัมพันธ์ลับๆ ในห้องเล็กเจือไอแดดที่ซ่อนตัวจากสังคม ซ่อนตัวจากโลกความจริง ซ่อนตัวจากหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เคมาลจะหมั้นหมายด้วยในอีกไม่นาน ท่ามกลางความเปลี่ยนผันทางสังคมการเมืองของตุรกีในยุค 70
อิสตันบูลสำหรับเคมาลคือจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่บรรจุเรื่องราวสุกสกาวของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟูซุน สะท้อนผ่านข้าวของสารพันที่เรียงรายอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เขาสร้างขึ้น ทั้งต่างหู กระเป๋าถือ ที่เขี่ยบุหรี่ ชุดเดรสลายดอก ก้นบุหรี่ที่สูบแล้วสี่พันสองร้อยสามสิบเอ็ดอัน ชุดว่ายน้ำ เปลือกหอยทาก กลักไม้ขีด เมนูอาหาร ที่เย็บกระดาษ ฯลฯ
ทั้งหมดเป็นข้าวของสามัญไร้เดียงสา จากความรักไร้เดียงสา ในช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสาของตุรกี
ฉันเคยถือกุญแจห้อง ฉันเคยมีส่วนร่วมมากถึงเพียงนั้นในชีวิตของใครอีกคน
ฉันเคยไปช่วยดูบ้านที่กำลังจะซื้อ ฉันเคยได้เลือกข้าวของที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน
แต่มันก็ไปได้ไกลเท่านั้น
เส้นทางของเราขาดหายสิ้นสุดลง
“ผมอธิบายว่าเราไม่ได้วาดหวังในตัวกันและกัน เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันเรื่องวาน และถึงแม้เราจะหลบซ่อนจากโลก แต่เราก็ผูกพันกันด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ที่สุดและพื้นฐานที่สุด และด้วยความจริงใจเร่าร้อนที่ไม่เหลือที่ให้แก่การหลอกลวง”*
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าปัญหาที่แท้จริงมันคืออะไร รู้แค่ว่าแม่ไม่เคยถูกใจความสัมพันธ์ใดๆ ของฉัน สายโทรศัพท์ไม่เคยว่าง ข้าวของส่วนตัวถูกรื้อค้น จดหมายและโปสการ์ดถูกเปิด ถูกอ่าน และถูกเก็บซ่อนพ้นสายตาฉัน ชีวิตฉันถูกชำแหละออกมาวางแผ่แบอยู่ตรงหน้าและสำรวจด้วยสายตาสอดส่องของแม่ พื้นที่ส่วนตัวที่เดียวที่ฉันจะมีได้คือภายในความคิดและความฝัน
เธอคงไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงหายไปพอๆ กับที่ฉันพยายามแน่ใจว่าเธอคงส่งข่าวมา ความเชื่อและความทรงจำที่ฉันมีกับเธอเลือนลางไปเรื่อยๆ เรื่องเก่าๆ ถูกนำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเล่นปริศนาอักษรไขว้ในวันอากาศร้อนจัด หนังสือที่ฉันแนะนำให้เธออ่าน ระเบียงที่ลมพัดแรง แปรงสีฟันคู่กันในห้องน้ำ
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเนิ่นนานเพียงใดกว่าแม่จะคืนโปสการ์ดจากเธอทั้งหมดให้ฉัน
หลากที่ หลายแห่งถูกประทับตราลงบนแสตมป์ บ้างก็ถูกระบุไว้เป็นลายของโปสการ์ด ลายมือหวัดๆ ของเธอบอกว่าเธออยู่ริมฝั่งโขง หรือไม่ก็จังหวัดห่างไกลสักแห่ง
มันผ่านไปแล้ว
นานเกินไปแล้ว
แม่ทำสำเร็จแล้ว
ทุกวันนี้ฉันยังเก็บโปสการ์ดเหล่านั้นไว้ แขวนอยู่ในซองใสในตู้เสื้อผ้า และไม่เคยหยิบมันมาดู
ฉันกลัวว่าจะพบถ้อยคำตัดพ้อชนิดที่ทำให้ฉันกลับไปล่มสลายอีกครั้ง แม้ฉันจะรู้ว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วจริงๆ เราโคจรมาเจอกันบ้างนานครั้งแต่ไม่มีใครรื้อฟื้นหรือแม้แต่สบตากันตรงๆ
ความทรงจำส่วนตัวระหว่างฉันกับเธอที่ใครก็ไม่อาจล่วงล้ำยึดครองได้ คือภาพถ่ายของฉันที่เธอถ่าย มันบันทึกความเยาว์วัย อยู่ในห้วงรัก และเหลียวมองเธอด้วยนัยน์ตายิ้มๆ อยู่บนฟูกในห้องที่ปราศจากเครื่องเรือน
แววตาแบบผู้ที่ไม่มีวันรู้ว่าโลกจะไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ
“พิพิธภัณฑ์แห่งความไร้เดียงสา” (The Museum of Innocence) เขียนโดย Orhan Pamuk แปลโดย นพมาส แววหงส์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์มติชน, มีนาคม 2560
*ข้อความจากในหนังสือ