ธงทอง จันทรางศุ | ฝึกหัดทำใจ

ธงทอง จันทรางศุ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการซึ่งมีนักกฎหมายจำนวนมากร่วมเป็นกรรมการ

ขณะที่กรรมการอีกจำนวนหนึ่งแม้มิได้เป็นนักกฎหมายโดยตรง แต่ก็มีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับนักกฎหมายมาตลอดชีวิตก็ว่าได้

ประเด็นที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการในวันนั้น เป็นปัญหาการตีความกฎหมายโดยตรง

อธิบายให้เข้าใจง่ายสำหรับท่านผู้อ่านในเวลานี้ว่า เป็นเรื่องของข้อความที่มีอยู่ในระเบียบสำคัญฉบับหนึ่งเพียงแค่บรรทัดเดียวนี่แหละครับ พอมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้น กรรมการแต่ละคนอ่านกฎหมายบรรทัดเดียวกันแล้วมีความเห็นแตกต่างกันออกไปเป็นสองฝ่าย

การแปลความกฎหมายที่แตกต่างกันนี้ ย่อมมีผลโดยตรงให้คำวินิจฉัยของเรื่องแตกต่างกันไปคนละทิศ

ที่ประชุมแห่งนั้นใช้เวลาพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวด้วยความรอบคอบอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง

ผมเองได้นั่งฟังความเห็นของกรรมการแต่ละท่านด้วยความชื่นชม

เพราะก่อนที่แต่ละท่านจะสรุปว่าความเห็นของท่านเป็นอย่างไรในเรื่องนี้ ท่านได้อธิบายเหตุและผลอย่างยืดยาวเพื่อสนับสนุนความเห็นของท่าน

และเป็นการอภิปรายทางกฎหมายที่น่าฟังเป็นที่สุด

กรรมการบางท่านแม้จะมีความเห็นสรุปสุดท้ายเหมือนกันกับความเห็นของผม แต่เหตุผลที่ท่านอภิปรายสนับสนุนคำตอบส่วนตัวของท่านนั้น แตกออกช่อออกไปหลายประเด็น

บางประเด็นก็ซ้ำหรือตรงกันกับความคิดของผม

บางประเด็นก็งอกเงยขึ้นมาใหม่ ผมไม่เคยคิดไปถึงตรงนั้นมาก่อนเลย

สนุกยิ่งกว่านั้นคือ การอภิปรายของกรรมการแต่ละท่าน นอกจากจะเป็นการแถลงความเห็นและเหตุผลส่วนของท่านแล้ว โดยธรรมชาติของการประชุมเช่นนี้ ถ้อยคำที่กรรมการแต่ละท่านกล่าวกับที่ประชุม ยังต้องแฝงด้วยลีลาโวหารที่มุ่งโน้มน้าวให้กรรมการท่านอื่นคล้อยตามท่านด้วย

บางจังหวะกรรมการบางท่านต้องอภิปรายแสดงเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับเหตุผลของกรรมการอีกท่านหนึ่งที่ได้กล่าวล่วงหน้าไปแล้ว

แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำด้วยความสุภาพ ให้เกียรติและเคารพความคิดเห็นของกันและกัน

เมื่อฟังเหตุและผลของกรรมการทุกท่านแล้ว ที่ประชุมจึงลงมติว่าความเห็นของฝ่ายใดจะแพ้ชนะกันอย่างไร

หลังจากการลงมติแล้ว ผลปรากฏว่าผมอยู่ฝ่ายข้างน้อยครับ กรรมการฝ่ายข้างมากมีความเห็นตรงกันข้ามกับผม

ลงมติแล้วก็เลิกประชุม บรรยากาศเมื่อเลิกประชุมแล้วงดงามมากครับ กรรมการไม่ว่าจะมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ โอภาปราศรัยกันด้วยความยิ้มแย้ม และเชื่อได้ 100% ว่าไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในหัวใจของทุกคน

แม้แต่ตัวผมเองซึ่งเป็นฝ่ายข้างน้อย ผมก็เข้าใจเหตุผลของกรรมการฝ่ายข้างมาก ว่าท่านก็มีวิธีคิดและแปลความกฎหมายที่มีเหตุผลสนับสนุนอย่างน่าสนใจ

เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือ ความมั่นใจของผมว่าที่ประชุมของเราไม่มีใครมีประโยชน์ได้เสียเป็นการส่วนตัวกับเรื่องที่พิจารณา

ทุกอย่างว่ากันตามเนื้อผ้าจริงๆ

ออกจากห้องประชุมวันนั้นมาแล้ว ผมย้อนกลับมาคิดถึงเมืองไทยของเรา ไม่ต้องคิดไปไกลถึงเรื่องการบ้านการเมืองหรอกครับ

เอาแต่เพียงแค่การทำงานตามปกติตามหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนก็ตาม ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า เมื่อมีความคิดเห็นแตกต่างกันในที่ประชุม และสุดท้ายต้องมีความเห็นไปข้างหนึ่งข้างใด

ฝ่ายที่เป็นเจ้าของความเห็นที่แตกต่างกันบางคราวก็ให้รู้สึกอึดอัดขัดข้อง ไปๆ มาๆ อาจเลยเถิดไปจนถึงกลายเป็นข้อวิวาทบาดหมางกันก็ได้

เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะเราไปยึดมั่นว่าเราเป็นคนถูกอยู่คนเดียวใช่ไหมครับ ผิดไปจากที่เราคิดแล้วก็ต้องผิดสิน่า

พออายุมากมาจนถึงวัยนี้และผ่านการประชุมมาไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นหนแล้ว ผมทบทวนและบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า ประโยชน์ของการประชุมอยู่ตรงที่ว่า เราไม่ได้คิดอยู่ลำพังคนเดียว หากแต่ได้ฟังคนอื่นเขาคิดด้วย การเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการหรือที่ประชุมใดก็ตามจะเกิดประโยชน์เต็มที่ถ้าเราเข้าไปที่ประชุมนั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง แสดงความเห็นและเหตุผลของเราอย่างเต็มที่ด้วยความสุภาพเรียบร้อย

ขณะเดียวกันกับที่รับฟังความเห็นของผู้อื่นแล้วมาไตร่ตรองประมวลผล

จากประสบการณ์ผมพบว่า บ่อยครั้งที่เราไม่อาจบอกได้ว่าใครผิดทั้งหมดหรือถูกทั้งหมด คำตอบที่ดีที่สุดของที่ประชุมอาจเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างความคิดเห็นที่ยืนอยู่สองข้างมาแต่แรก แล้วโน้มเข้ามาหากันในที่สุด

พบกันในจุดที่สมดุล ว่างั้นเถิด

ชีวิตผมเข้าประชุมมาตั้งแต่เรื่องใหญ่ขนาดเขียนรัฐธรรมนูญ เพื่อตกลงกันว่าประเทศไทยจะมีสภาเดียวหรือสองสภา แต่ละสภามาจากที่ไหน เรื่อยไปจนถึงประชุมเรื่องสนุกสนานเฮฮา เช่น ประชุมจัดงานปีใหม่ของสำนักงาน เราจะเล่นเกมปิดตาตีหม้อหรือขี่ม้าส่งเมืองดี

ประชุมเสร็จแล้ว ความเห็นของผมจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็ตามที จะไปขึ้งโกรธใครก็ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป ประชุมเสร็จก็จบ ปิดแฟ้มได้ มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่รอให้ผมไปสนุกกับเรื่องนั้นๆ คิดแบบนี้แล้วสบายใจดีแท้ๆ

ถ้าเราหัดทำใจอย่างนี้ไว้ใจทุกวัน ประชุมอีกกี่ร้อยครั้งก็ชนะครับ

ชนะใครหรือ

ชนะใจตัวเองอย่างไรเล่าครับ

ทุกวันนี้ผมชนะแบบนี้เดือนละหลายสิบครั้ง แถมตอนหลังผมยังขยายวงออกไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย แม้ไม่ใช่เรื่องการประชุมที่เป็นทางการ การคุยกับเพื่อนใน LINE ก็เอาความคิดแบบนี้ไปใช้ได้ ไม่ต้องเถียงกันหน้าดำหน้าแดง จนกระทั่งต้องลาออกจาก LINE กลุ่มไปอย่างที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ

เสียเพื่อนกันไปมากแล้วเพราะอยากเอาชนะคนอื่นนี่แหละ

จริงไหมครับ ลองคิดดู