มนัส สัตยารักษ์ | แค่ปิดปากเสียบ้างเท่านั้น

เห็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 21/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 แล้วอุ่นใจ

อุ่นใจว่า นายกรัฐมนตรีทำงานเป็นแล้ว

สังเกตได้ว่า ช่วงเวลาหลังจากวิฤตโควิด-19 เริ่มต้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะต่างๆ ขึ้นมาตามอำนาจนายกรัฐมนตรี ที่ 5/2563 (ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เรื่องการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สำคัญ มีผลได้/เสียต่อประเทศชาติและประชาชนโดยตรงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แต่งตั้งนักการเมือง นายทหาร นายตำรวจ หรือบุคคลที่ต้อง “ตอบแทนบุญคุณ” ในภายหลังแม้แต่คนเดียว

คณะที่ปรึกษาครั้งนี้ทั้ง 12 รายชื่อ มีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา คนเดียวที่มียศทางทหาร (พลตรี) นำหน้า อาชีพที่แท้จริงของท่านคือหมอรักษาคนทั่วไป และในฐานะนักบริหารท่านคือผู้อำนวยการโรงพยาบาล

อีก 11 ท่านเป็นอาจารย์ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย เป็นนายแพทย์ เป็นนักคิด นักเขียน นักพูด เป็นปราชญ์ที่เราติดตามฟังและอ่าน เป็นคนที่เราเคารพนับถืออยู่ก่อนแล้ว

คณะที่ปรึกษาชุดนี้ก็เช่นเดียวกับ “อาจารย์ของหมอ” และ “20 อภิมหาเศรษฐี” นั่นคือไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นายทหารหรือนายตำรวจ และไม่ใช่คนที่รัฐบาลต้องตอบแทนบุญคุณ

สองภารกิจหลักที่เผชิญหน้าทุกประเทศในวันนี้ก็คือ ภารกิจต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภารกิจปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเสื่อมทรุดลงทั่วกัน

ภารกิจแรก เราไว้วางใจแพทย์และงานสาธารณสุขที่เข้มแข็ง อาศัยการทำงานอย่างเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร (อสม.) จึงนับว่า “สอบผ่าน” โดยประเทศไทยได้รับคำยกย่องชมเชยจากองค์การอนามัยโลก

ส่วนภารกิจหลัง รัฐบาลไม่ได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ก่อน จึงออกอาการเหมือนจะ “สอบตก” เมื่อมีคนที่ได้รับผลกระทบจากวิฤตประกาศจะฆ่าตัวตาย แต่เราก็ยังเชื่อว่า ท้ายที่สุดไทยต้องผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ ตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ตรัสไว้เมื่อ 10 ปีก่อนที่ชายทะเลแห่งหนึ่งว่า “เพราะคนไทยยังให้กันอยู่”

คนไทยที่ให้ดูเหมือนจะ “ให้” ก่อนรัฐบาลจะคิดด้วยซ้ำ เริ่มต้นด้วยพระเอก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ตระเวนให้อย่างถึงตัวผู้เดือดร้อนโดยตรงในทันที

บิณฑ์รู้ดีว่าคนลำบากอยู่พิกัดไหน

ส่วนผู้ให้รายอื่นทั้งดารานักแสดงและมหาเศรษฐีต่างบริจาคให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั่วประเทศที่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นทัพหน้าทำหน้าที่อยู่อย่างเสียสละ

ไม่เพียงแต่ประชาชน ข้าราชการทุกระดับก็ “ให้” ด้วยตามสถานะ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้ไถ่เครื่องมือประกอบอาชีพจากโรงรับจำนำมาคืนชาวบ้าน แถมด้วยแจกข้าวสารและไข่ไก่เพื่อยังชีพยามยาก

ท่าน “ให้” โดยตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ด้วยคำสั่งของใคร

ตามด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีร่วมกับเจ้าสัวเมืองอุดร ที่ตระเวนไปทุกโรงรับจำนำของจังหวัด ประกาศด้วยว่าอุดรธานีเอาอย่างผู้ว่าราชการจังหวัดเลย

ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ว่ากันอย่างแท้จริงแล้วคนไทยแสดงน้ำใจในยามวิกฤตมากกว่านี้

สรุปอย่างง่ายๆ ตรงไปตรงมาก็คือ คนที่จะช่วยให้ประชาชนพ้นภัยจากพิษของวิกฤตครั้งนี้ได้คือประชาชนคนธรรมดานั่นเอง ไม่ใช่นักการเมืองหรือคนที่แสดงความจงรักภักดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างถวายหัวและหมอบราบคาบแก้วแต่อย่างใด

เปรียบเทียบผลงานจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสมัครพรรคพวกของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ที่ปรึกษา หน้าห้อง ฯลฯ ที่บากหน้าออกมาแก้ต่าง โต้แย้งหรือถกเถียงกับสื่อหรือฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แล้วถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

หรือข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ที่ได้ชื่อว่าจงรักภักดี มีวินัยจนไม่กล้าทำอะไรที่ต้องใช้สมองหรือวิจารณญาณของตนเอง เพราะเป็นการเสี่ยงที่อาจจะทำให้สูญเสียสถานะที่เป็นอยู่ได้ เช่น เจ้ากรมที่เปิดสนามมวยลุมพินี หรือผู้การที่อนุญาตให้ผู้ที่ถูกกักกันกลับบ้าน แทนที่จะให้ไปสถานที่ที่ทางการเตรียมไว้

ผมอาจจะเป็นคนที่ไม่มีจุดยืนทางการเมืองก็ได้ ทุกครั้งที่กองเชียร์ออกมาทำหน้าที่ชเลียร์ ผมจะให้คะแนน “ลบ” แก่เจ้านายของเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนายทักษิณ ชินวัตร หรือฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม

เชื่อว่าในบางนาทีที่ปลอดจากคนใกล้ชิดรอบตัว พล.อ.ประยุทธ์น่าจะพบความจริงที่แตกต่างตรงจุดนี้ด้วย

ในช่วงเวลาของวิกฤตโควิด-19 นับเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับ “ทำสงคราม” ในสื่อโซเชียล ดังนั้น เราจึงเห็นคนขยันหลายคนของหลายฝ่ายพากันออกมาทำสงครามกัน

เมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หรือนายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายวัฒนา เมืองสุข หรือ ฯลฯ ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ผมประเมินให้คะแนน “ลบ” แก่นายทักษิณ ชินวัตร โดยอัตโนมัติไปทันที

ในขณะเดียวกัน สมมุติว่า นายเสรี สุวรรณภานนท์ หรือนายวันชัย สอนศิริ หรือนายสิระ เจนจาคะ หรือ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ หรือนายแรมบ้า ฯลฯ ออกมาเชียร์หรือแก้ต่างให้ พล.อ.ประยุทธ์ ผมก็จะประเมินให้คะแนนลบแก่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยอัตโนมัติเช่นกัน

ผมแค่เป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนี่งเท่านั้น ผมจะประเมินผิดหรือถูกไม่สำคัญ สำคัญแค่ว่าประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่เขาจะคิดเหมือนผมมากหรือน้อยเท่านั้น?

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โชคดีที่มีพฤติกรรมอันน่าสลดใจเกิดขึ้น นั่นคือกรณีที่ รปภ.สาววัย 20 น้องปลายฝน หรือเกตุ อ่ำสาริกา ผูกคอตายเพราะสารพัดปัญหาชีวิต

ก่อนผูกคอตาย น้องปลายฝนได้วาดภาพนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมโพสต์ข้อความรันทดท้อ… “เพื่อนเอย ฉันอยู่ไหน สุดท้ายไปไม่ถึง…ฯลฯ”

กลายเป็นประเด็นดังขึ้นมาในสื่อเพราะถูกตีความว่าตัดพ้อต่อว่านายกรัฐมนตรีที่ไม่ช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจให้ทันกาล

ประกอบกับมีภาพถ่ายรายชื่อเจ้าภาพเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และมีภาพพวงหรีดเคารพศพจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับพวงหรีดของแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งทำให้ผมให้คะแนนลบต่อนายกฯ ทักษิณโดยอัตโนมัติทันที และต่อมาเราก็ได้ข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลได้จ่ายเงินเยียวยาแก่น้องปลายฝนก่อนแล้ว 5,000 บาท แต่ถูกแฟนใหม่ยักยอกเอาไป

ที่เล่าเรื่องน่าสลดใจนี้มิใช่เพราะตั้งหน้าตั้งตาจับผิด “คุณหญิงหน่อย” และพวกหรอก

แต่สลดใจเพราะภาพนายกรัฐมนตรีที่น้องปลายฝนวาดนั้น ทำให้นึกถึงภาพนายแพทย์โปล กาแซ (Portrait of Dr.Gaceht) ที่เขียนโดยวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ เป็นภาพที่ได้อารมณ์สะเทือนใจอย่างเดียวกัน

และในเวลาต่อมาหลังจากแวน โก๊ะห์ เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ภาพหมอกาแซเป็น 1 ใน 10 ของภาพที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

ทำให้เสียดายอัจฉริยภาพของน้องปลายฝนอย่างยิ่ง และคิดด้วยจิตใจที่เป็นธรรมว่านายกรัฐมนตรีควรมีส่วนต้องรับผิดชอบอยู่บ้าง ในฐานะที่กำหนดหลักเกณฑ์เยียวยาให้ยุ่งยากจนไม่ทันกาล

อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณคนรอบข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ครั้งนี้สงบปากสงบคำสนิท ไม่มีใครออกมาโต้แย้งกับพวกของคุณหญิงสุดารัตน์…คงจะรู้ตัวแล้วว่าการโต้แย้งอย่างงี่เง่าอาจจะทำให้ชัยชนะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปก็ได้