โควิดระบาด ตร.นอกแถวซ้ำเติม “อุ้มรีด-ยัดข้อหา-ยักยอกเงินศพ” โจรยูนิฟอร์ม ราษฎรไร้สันติสุข

ในยุคที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทุกหย่อมหญ้าของประเทศไทย เจ้าของกิจการ ลูกจ้าง ห้างร้านต่างๆ ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก

และยังเกิดเหตุอาชญากรรม ลัก วิ่ง ชิง ปล้น การฉ้อโกงทางออนไลน์ ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชนให้ได้รับความทุกข์มากขึ้น

เราได้เห็นภารกิจตำรวจในแง่มุมต่างๆ และภาพลักษณ์ที่ดีปรับตัวทำงานให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง และทำงานเชิงรุกภายใต้นโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่เน้นย้ำว่าในห้วงเวลานี้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ตำรวจต้องช่วยกันบำบัดทุกข์ บำรุงสุข คลายความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน

แต่ในระยะนี้กลับมีปมฉาวโฉ่ ข่าวเชิงลบตำรวจที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนออกมาให้เห็นค่อนข้างมาก

ตั้งแต่เรื่องที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาผู้เสียหายเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับตำรวจ สภ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ และพวกกว่า 10 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล้นทรัพย์และกรรโชกทรัพย์

รวมทั้งให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย หลังมีพฤติการณ์ร่วมกันอุ้มผู้เสียหายไปทำร้ายร่างกาย ยัดข้อหาค้ายาเสพติด ก่อนเรียกรับเงินสินบนแลกกับการไม่ดำเนินคดี

แม้ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ จะสั่งย้าย ด.ต.-ส.ต.ต. ไป 2 ราย ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง

แต่เนื่องจากผู้เสียหายเกรงกลัวอิทธิพลตำรวจกลุ่มนี้ ทาง พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 จึงได้มีคำสั่งระดับกองบัญชาการหรือระดับภาค ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยให้แล้วเสร็จใน 15 วัน

พร้อมทั้งให้ ภ.จว.สมุทรปราการ ยกเลิกคำสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับ ภ.จว.

อีกทั้งยังขอให้ตั้งกรรมการสอบสวน ผกก.สภ.คลองด่าน และรอง ผกก.สืบสวนสอบสวน สว.สืบสวนสอบสวน ที่ปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตั้งแก๊ง โดยใช้ห้องสืบสวน สภ.คลองด่าน เป็นสถานที่ก่อเหตุอุ้มประชาชนมารีดเอาทรัพย์สิน

อีกราย พ.ต.ต.ธีร์ธดลว์ พันธ์สนิท สว.ฝ่ายการฌาปนกิจสงเคราะห์ ดูแลรับผิดชอบวัดตรีทศเทพ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานฌาปนสถาน รวมถึงการเก็บเงิน ส่งเงินบำรุงการใช้ฌาปนสถานให้กับสำนักงบประมาณและการเงิน ตร. แต่กลับใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิด ยักยอกเงินต้นสังกัดไปกว่า 6 แสนบาท อีกทั้งยังไม่ชำระเงินค่าอาหารจัดเลี้ยง ค่าดอกไม้ และค่าดำเนินการอื่นๆ ให้กับผู้ประกอบการ 3 ราย

เมื่อเรื่องแดง พ.ต.ต.ธีร์ธดลว์ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ที่ผ่านมา ผบ.ตร.ได้กำชับมาโดยตลอดเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ต้องให้เกิดความโปร่งใส เป็นตำรวจต้องไม่กระทำผิดเสียเอง โดยเฉพาะเป็นเรื่องเงินที่เกี่ยวข้องกับฌาปนกิจ มีนโยบายชัดเจนไม่ให้ “ตำรวจหากินกับศพ” เพราะเป็นการซ้ำเติมญาติผู้เสียชีวิตให้ทุกข์หนักขึ้น โดยให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดในทุกกรณี

ทั้งนี้ “บิ๊กแป๊ะ” ได้เน้นย้ำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอดต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับที่กำหนดอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีตำรวจกระทำความผิด จะดำเนินการทั้งทางอาญาและวินัยอย่างเด็ดขาดไม่มีละเว้น ไม่มีการให้ความช่วยเหลือ ว่ากันไปตามข้อเท็จจริงพยานหลักฐานที่ปรากฏ

นอกจากนี้ ยังกำชับให้ผู้บังคับบัญชาสอดส่องดูแลความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ทั้งในเวลาราชการและนอกราชการ ประกอบกับให้พิจารณาตั้งกรรมการสอบผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ตามนัยคำสั่ง 1212/2537 กรณีปล่อยปละละเลยไม่กวดขันความประพฤติและวินัยของผู้ใต้บังคับบัญชาจนเกิดข้อบกพร่อง เสียหาย

ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการลงทัณฑ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำในลักษณะนี้ทั้งไล่ออก ปลดออก ให้ออก หากความผิดปรากฏชัดเจนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาโดยตลอด ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์กรและเสียกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติดี

ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า หากมีตำรวจกระทำผิดเป็นข่าวโด่งดัง กระทบต่อจิตใจประชาชนจำนวนมาก มักทำให้ผู้บังคับบัญชาต้องเร่งตรวจสอบ และดำเนินการทางวินัย-อาญาอย่างรวดเร็ว เพื่อลดกระแสสังคม

แต่กลับมีเรื่องราวในลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นมาตลอดในหลายท้องที่ และมักถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

กลายเป็นคำสั่งที่ออกมาเหมือนกับการเขียนเสือให้วัวกลัว คำพูด ผบ.ตร.เป็นเพียงวาทกรรมที่ผู้นำสีกากีทุกยุคใช้

“หากพบการกระทำความผิด จะฟันไม่เลี้ยง” แต่ก็ยังมีตำรวจนอกรีตสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างดาษดื่น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2563 ก็ได้รับทราบการดำเนินการทางวินัยตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงทั้งหมด 41 นาย

จำนวนนี้แบ่งเป็นไล่ออก 14 นาย ปลดออก 7 นาย ให้ออกโดยมีมลทินมัวหมอง 1 นาย ให้ออกกรณีขาดคุณสมบัติ 1 นาย กักขัง 5 นาย กักยาม 3 นาย ยุติเรื่อง 5 นาย และมีมติให้เปลี่ยนแปลงการลงโทษ 5 นาย รวมทั้งรับทราบการดำเนินการพิจารณาเรื่องอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ รายงานการลงโทษ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนของข้าราชการตำรวจ ทั้งหมด 17 เรื่อง โดยยกอุทธรณ์ 12 เรื่อง ไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ 3 เรื่อง และยุติการพิจารณา 2 เรื่อง

พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ฝากถึงข้าราชการตำรวจทุกนายว่า หากพบว่ามีกรณีที่ตำรวจกระทำผิดวินัยเสียเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลเกี่ยวพันยาเสพติด ขาดราชการ ให้ลงโทษตามโทษานุโทษอย่างเต็มที่ ในทางกลับกันหากตำรวจทำดี ผู้บังคับบัญชาทุกคนต้องให้กำลังใจ และสนับสนุนการปฏิบัติของเขาให้ได้

หวังว่าคำสั่งของประธาน ก.ตร. และ ผบ.ตร. จะกระเทือนซางตำรวจ ให้ปฏิบัติตนสมกับเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อย่างแท้จริง